Monday, September 29, 2014

ทำอย่างไรเมื่อเกิดแผลที่นิ้วแล้วเลือดออกไม่หยุด?

มีลูกค้าที่อยู่ใกล้ร้าน  ได้มาขอซื้อพลาสเตอร์ยาปิดแผล ที่นิ้วมือพันด้วยทิชชู่อย่างหนามา และบอกว่า ทำไงดี? เลือดไหลไม่หยุดเลย ข้าพเจ้าก็แนะนำว่า ให้นั่งลง และยกมือข้างที่นิ้วมีเลือดไหลให้อยู่สูงเหนือหัวใจ สักพัก เลือดค่อย ๆ หยุดไหลและเกิดสะเก็ดแห้งแข็ง ปิดทับแผลไว้ ซึ่งเป็นเพราะว่า
การยกอวัยวะที่มีบาดแผลให้สูงกว่าระดับหัวใจ เป็นการห้ามเลือด โดยการลดแรงการไหลเวียนของเลือดให้ช้าลง ลดปริมาณการเสียเลือดของบาดแผล ขณะที่ร่างกายสร้างเกล็ดเลือดที่แผลทำให้เลือดแข็งตัวปิดปากแผล
------------------------------------------------------------------------------------------------------------

การห้ามเลือด หมายถึง การลดการสูญเสียเลือดไปจากร่างกายทางบาดแผล มีหลายวิธีด้วยกัน
1. การยกอวัยวะที่มีบาดแผลให้สุงกว่าระดับหัวใจ
เป็นการห้ามเลือดโดยการลดแรงการไหลเวียนของเลือดให้ช้าลง ลดปริมาณการเสียเลือดของบาดแผลขณะเดียวกันให้ใช้ผ้าสะอาดวางทับลงบนบาดแผล และใช้ผ้าพันรัดให้แน่นพอควรเลือดก็หยุด วิธีนี้ใช้ในกรณีที่เลือดออกไม่มากนัก
2. การกดบนบาดแผลโดยตรง
ใช้ในกรณีที่มีเลือดไหลรินจากบาดแผลตลอดเวลา ทำการห้ามเลือดโดยการใช้นิ้วมือกดลงบนบาดแผลโดยตรง หรือใช้ผ้าสะอาดปิดปากแผลกดลงโดยตรง เมื่อเลือดไหลซึมช้าลงให้ใช้ผ้าสะอาดอีกผืน ปิดทับลงบนผ้าปิดแผลเดิม และใช้ผ้าพันรัดบาดแผลให้แน่นพอควร ถ้ามีเลือดชุ่มออกมาให้เห็นให้เปลี่ยนเฉพาะผ้าปิดแผลผืนนอก เพราะถ้าเอาผ้าชิ้นแรกออกด้วย อาจทำให้ปากแผลแยกจากกันง่ายขึ้น ซึ่งเป็นผลทำให้เลือดออกเพิ่มขึ้นได้
3. การใช้แรงกดบนหลอดเลือดแดงใหญ่
ในกรณีที่ห้ามเลือดโดยกดที่บาดแผลโดยตรงและยกอวัยวะให้สูงขึ้นแล้วไม่ได้ผล อาจใช้แรงกดบนเส้นเลือดแดงใหญ่ ในตำแหน่งระหว่างบดแผลกับหัวใจ การกดโดยใช้แรงนิ้วมือกดลงบนหลอดเลือดแดงกับกระดูก
4. การใช้สายรัดห้ามเลือด หรือ วิธีขันเชนาะ
เป็นวิธีห้ามเลือดวิธีสุดท้ายในกรณีที่ห้ามเลือดด้วยวิธีอื่นๆข้างต้นแล้ว ไม่สามารถหยุดการเสียเลือดได้ ทั้งนี้เพราะว่าการห้ามเลือดวิธีนี้ ถ้าทำไม่ถูกวิธี เช่น รัดแน่น หรือ นานเกิน 6-8 ชั่วโมง อวัยวะที่ต่ำกว่าบริเวณที่รัดไว้อาจขาดเลือดไปเลี้ยง ทำให้เซลล์เนื้อเยื่อตายได้ วิธีขันเชนาะมีดังนี้
4.1) หุ้มบริเวณที่รัดด้วยผ้า เพื่อป้องกันการเจ็บปวดจากการรัด หรือเกิดแผลที่ผิวหนังตามรอยรัดได้

4.2) ใช้เชือก สายยาง ผ้าเช็ดหน้า หรือ เนคไท รัดเหนือบาดแผล ไม่ควรให้ชิดบาดแผลเเกินไป การขันเชนาะทำได้ดังนี้

- รัดเหนือแผลให้แน่น 2 รอบ แล้วผูก 1 ครั้ง

- ใช้ไม้ที่แข็งแรง เช่น ตะเกียบ ดินสอ ปากกา ฯลฯ วางลงและผูกซ้ำอีกครั้ง

- หมุนไม้ เพื่อรัดให้แน่นจนเลือดหยุดไหล

- ผูกปลายไม้อีกด้าน มัดกับแขนเพื่อให้ไม้อยู่กับที่

4.3) ไม่รัดแน่นหรือหลวมเกินไป โดยรัดให้แน่นพอที่เลือดจะหยุดไหลออกจากแผล

4.4) เมื่อรัดเหนือบาดแผลแล้ว ให้ยกปลายแขนหรือปลายขาให้สูงกว่าระดับหัวใจ เพื่อช่วยลดการไหลเวียนของเลือดมาที่แผลให้น้อยลง

4.5) คลายรัดทุก 15-30 นาที โดยคลายนาน 1/2 – 1 นาที ถ้ายังมีเลือดออก อาจคลายเพียง 1-3 วินาที

4.6) ภายหลังการห้ามเลือด รีบนำผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาลทันที เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมต่อไป

จาก หนังสือ"อุบัติเหตุ การปฐมพยาบาล และการดูแลตนเองเพื่อสุขภาพ" คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

Wednesday, September 10, 2014

คำถาม จะประหยัดค่ายาได้อย่างไร?

ค่ายา ปัญหาหนึ่งที่สำคัญต่อการรักษาโรค
ยิ่งนับวันมนุษย์โลกก็จะมียาชนิดใหม่ๆ มาใช้ในการรักษาโรคต่างๆ ได้มากยิ่งขึ้น ทำให้คนรุ่นใหม่มีทางเลือกในการรักษาด้วยยาเพิ่มมากขึ้นกว่าในสมัยก่อน ส่งผลยกระดับคุณภาพชีวิตและอายุยืนมากขึ้น แต่ท่ามกลางข่าวดีเรื่องการคิดค้นวิจัยและพัฒนายาใหม่ๆ ให้มีทางเลือกในการรักษาพยาบาลมากขึ้น
สิ่งหนึ่งที่มาพร้อมกับวิธีการรักษาด้วยยาใหม่ๆ ก็คือ ราคายา ซึ่งนับวันจะยิ่งมีราคาสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว ยิ่งยาชนิดใหม่ๆ ราคายิ่งสูงขึ้น ตัวอย่างเช่น ยาลดไขมันในเลือดบางชนิด เม็ดหนึ่งราคาประมาณ 50 บาท (จนมีผู้ป่วยหลายคนอุทานว่า แพงกว่าค่าอาหารในแต่ละมื้อเสียอีก...จนต้องใช้ยาด้วยความระมัดระวัง... ไม่กล้าทำหล่นหาย...เพราะราคาแพงมาก!!!) หรือยารักษาโรคมะเร็ง ซึ่งมีการคิดค้นยาใหม่ๆ ขึ้นมากมายเช่นกัน ส่วนหนึ่งก็จะช่วยชีวิตของผู้ป่วยให้ทุกข์ทรมานน้อยลง และช่วยยืดอายุขัยให้ยืนยาวยิ่งขึ้น แต่ราคายารักษาโรคมะเร็งก็สูงขึ้นเช่นกัน จนในบางครั้งการรักษามะเร็งต้องใช้เงินเป็นหลักหมื่น หรือหลักแสน เป็นต้น
ราคายาที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องนี้ เป็นปัญหาและอุปสรรคหนึ่งของการรักษา บางคนต้องขายที่ดินขายนาไร่มารักษาโรค บางคนต้องกู้หนี้ยืมสินมาใช้เป็นค่ายาค่ารักษาโรค ถ้าหายก็ดีไป (ไม่หายก็ตายกันไป) หลายรายที่หายจากปัญหาด้านสุขภาพ แต่ต้องกลับไปแก้ปัญหาเรื่องเงินๆ ทองๆ แทน ต้องหาเงินมาใช้หนี้สินจากการรักษาโรค เหมือนหนีเสือปะจระเข้ แก้ปัญหากันไม่จบไม่สิ้น

"
อโรคยา ปรมา ลาภา-ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ" จึงขอให้พวกเรารักษา "สุขภาวะ" ของตนของท่านให้ดีที่สุด คงไว้ซึ่งความไม่ประมาท เพราะถึงแม้ว่าจะมียาใหม่ที่ก้าวหน้าหรือทันสมัยเพียงใด แต่อุปสรรคหนึ่งที่เหมือนเป็นก้างขวางคอหรือไอ้เข้ขวางคลอง คือ ราคายา ที่นับวันจะสูงมากขึ้นๆ จนเป็นปัญหา ทำให้เกิดภาวะล้มละลายด้านสุขภาพ คือ รักษาโรคให้หายได้ แต่ผู้ป่วยหรือครอบครัวล้มละลาย ต้องขายเรือกสวนไร่นามารักษาพยาบาล ซึ่งเกิดขึ้นเป็นประจำในสังคมไทยและสังคมโลก
ในบทความนี้จะขอกล่าวถึงแนวทางในการทุเลาปัญหาเรื่องราคายา ที่เป็นปัญหาหนักอกให้ลดขนาดลงบ้าง ไม่มากก็น้อย จะได้ช่วยทุเลาปัญหาด้านค่ารักษาพยาบาลได้บ้าง

มีประกันสุขภาพ..หรือไม่?
เริ่มต้นด้วยคำถามว่า "มีประกันสุขภาพ...หรือไม่?" ในที่นี้หมายถึง ประกันสุขภาพทุกประเภท เช่น การประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง หรือ ในอดีตเรียกกันว่า ๓๐ บาทรักษาทุกโรค แต่ในปัจจุบันไม่ต้องจ่าย 30 บาทแล้ว) การประกันสังคม (สำหรับผู้ที่ทำงานในภาคเอกชน) สวัสดิการข้าราชการ ประกันสุขภาพเอกชน เป็นต้น เหตุผลที่ต้องถามเรื่องนี้ก็เพราะว่า ถ้ามีประกันสุขภาพ จะมีคนอื่นที่ช่วยจ่ายค่ายาและค่ารักษาพยาบาลแทนเรา และไม่ต้องจ่ายค่ายาด้วยตนเอง หรือถ้าจำเป็นต้องจ่ายค่ายา อาจจะจ่ายเพียงบางส่วน ไม่ต้องจ่ายทั้งหมด ดังนั้นการมีประกันสุขภาพ ก็จะช่วยลดหรือประหยัดค่าใช้จ่ายในเบื้องต้นได้อย่างดี
เรื่องนี้นับเป็นความดีความชอบของรัฐบาลไทยหลายยุคสมัยที่ได้นำแนวคิดประกันสุขภาพมาใช้กับสังคมไทย จนปัจจุบันมีการประกันสุขภาพหลายชนิดช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประชาชนได้เป็นอย่างดี ทำให้ประชาชนที่มีปัญหาสุขภาพไปรับการรักษาได้อย่างทั่วถึง ถึงแม้ว่าจะยังมีปัญหาอยู่บ้างบางส่วน ก็คงจะต้องพัฒนาปรับปรุงแก้ไขระบบประกันสุขภาพของไทยให้ดียิ่งขึ้น

การรักษาโดยไม่ใช้ยา การปรับปรุงวิถีการดำเนินชีวิตประจำวัน
สิ่งหนึ่งที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกายและจิตใจ พร้อมๆ กับเป็นยารักษาโรคหลายๆ โรคได้อย่างดี ก็คือการปรับปรุงวิถีการดำเนินชีวิต ซึ่งอาจเรียกว่า "การรักษาโดยไม่ใช้ยา" ได้แก่ "4 อ" อันประกอบด้วย อารมณ์ อาหาร ออกกำลังกาย และอากาศ ล้วนเกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตประจำวัน ช่วยลดความเสี่ยง ลดอันตรายกับสุขภาพ ได้ด้วยหลัก 4 อ.
เริ่มต้นด้วยการรักษาอารมณ์ให้ไม่เครียดจนเกินไป รู้จักผ่อนคลายอย่างเหมาะสม และพักผ่อนให้เพียงพอ ตามมาด้วยการรับประทานอาหารที่สุกใหม่ ในปริมาณที่พอเหมาะไม่มากหรือน้อยเกินไป และให้หลากหลายชนิดไม่ซ้ำซาก เสริมด้วยการออกกำลังกายเป็นประจำอาทิตย์ละ 3 ครั้ง (วัน) ครั้งละ 30 นาทีขึ้นไป และสุดท้ายอยู่ในสภาวะแวดล้อมของอากาศที่ดี
ถ้าปฏิบัติได้ดังนี้ ก็จะช่วยบรรเทาอาการของโรคได้หลายชนิด เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน เป็นต้น ทั้งยังทำให้สุขภาพแข็งแรงยิ่งขึ้น ซึ่งสามารถปรึกษาเรื่องการดูแลสุขภาพด้วยตนเองกับแพทย์ พยาบาล เภสัชกร หรือบุคลากรทางสาธารณสุขต่างๆ ได้
 การลดค่าใช้จ่ายด้านยา
ในกรณีที่ผู้ป่วยจำเป็นต้องใช้ยา มีแนวทางในการประหยัดค่ายาได้ง่ายๆ ดังนี้
1. 
การทบทวนยาที่จำเป็นจริงๆ
2. 
การเลือกใช้ยาสามัญที่มีราคาถูกกว่ามาทดแทน
3. 
การแบ่งเม็ดยา
4. 
การใช้ยาสูตรผสม
5. 
การเลือกแหล่งจำหน่ายยา
6. 
จำนวนการสั่งซื้อยา
 
1. การทบทวนยาที่จำเป็นจริงๆ
หลักการแรกของการใช้ยา คือ ควรใช้ยาให้น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็นจริงๆ ดั่งคำขวัญของยาที่ว่า "ยามีคุณอนันต์ และโทษมหันต์" ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ควรใช้ยา จึงควรนำยาทั้งหมดของตนเองมาปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรให้ช่วยทบทวนและพิจารณาดูว่า ยาชนิดใดที่จำเป็นสำหรับโรคใด โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ต้องใช้ยาหลายชนิด ในบางกรณีอาจได้ยาซ้ำซ้อนกันได้ อาจทำให้ร่างกายได้รับยาเกินขนาด ทำให้เกิดพิษต่อร่างกายได้ และเป็นการสิ้นเปลืองยาอีกด้วย
 
2. การเลือกใช้ยาสามัญที่มีราคาถูกกว่ามาทดแทน
ขั้นนี้ ลองปรึกษาหารือกับแพทย์ที่ให้การรักษา หรือเภสัชกร ถึง "ยาสามัญที่ราคาถูกกว่า" มาทดแทน ทั้งนี้เพราะแพทย์ส่วนใหญ่นิยมหรือคุ้นเคยกับการจ่ายยาต้นตำรับ ซึ่งมักมีราคาแพงกว่ายาสามัญซึ่งเป็นตัวยาชนิดเดียวกัน ขนาดเท่าเทียมกัน และให้ผลการรักษาเหมือนกัน แต่มีราคาย่อมเยากว่าประมาณร้อยละ 20 ขึ้นไป จนยาบางชนิดราคายาสามัญมีราคาถูกกว่าเป็นสิบเท่าก็มี ตัวอย่างเช่น ยาลดไขมันในเลือด พบว่าตัวยาเดียวกัน แต่ยาต้นตำรับมีราคาเป็นสิบเท่าของยาสามัญ เป็นต้น

3. การแบ่งเม็ดยา
อีกประเด็นหนึ่งที่ช่วยลดค่ายาได้ ก็คือ การแบ่งเม็ดยา เพราะมียาเป็นจำนวนมากที่มีหลายขนาด เช่น ยาลดไขมันในเลือด มีในขนาดเม็ดละ 10, 20 และ 40 มิลลิกรัม ให้เลือกใช้
ถ้าแพทย์สั่งจ่ายยาในขนาด 10 มิลลิกรัมให้กับเรา เราอาจเลือกใช้ยาในขนาด 10 มิลลิกรัม จำนวน 1 เม็ด หรือยาในขนาด 20 มิลลิกรัม จำนวนครึ่งเม็ด หรือยาในขนาด 40 มิลลิกรัม จำนวน 1 ใน 4 ของเม็ดก็ได้ ซึ่งถ้าหักเม็ดแล้วมีราคาถูกกว่า เราก็อาจเลือกใช้ยาหักเม็ด เพื่อประหยัดค่ายาได้
นอกจากนี้ กรณีที่ต้องใช้ยาหักเม็ด ขอแนะนำให้ขอความช่วยเหลือจากห้องยาช่วยหักครึ่งเม็ดให้ เพราะห้องยาส่วนใหญ่จะมีอุปกรณ์สำหรับหักเม็ดยาและให้บริการเรื่องนี้อยู่แล้ว ประกอบกับถ้าผู้ป่วยไปหักเม็ดยาด้วยตนเอง อาจหักได้ไม่ดี โดยเฉพาะผู้สูงอายุมักหักเม็ดยาได้ไม่ดีไม่สม่ำเสมอ และบางคนก็ทำเม็ดยาตกหล่น ทำให้สูญเสียยาไปได้จากการหักยา (ยิ่งยามีขนาดเล็ก จะยิ่งหักได้ยากยิ่งขึ้น)
 
4. การใช้ยาสูตรผสม
ประเด็นที่ 4 นี้ เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ใช้ยาหลายชนิด และโชคดีที่มีการผลิตยาหลายชนิดในเม็ดเดียวกัน ทั้งนี้เพราะการผลิตยาหลายชนิดในเม็ดเดียวกัน จะช่วยให้ผู้ป่วยใช้ยาได้ง่าย และสะดวกยิ่งขึ้น เพรากินยาเม็ดเดียวดีกว่ากินยาหลายเม็ด และยังอาจมีราคาถูกกว่าได้ ถ้าราคายาของหลายอย่างในเม็ดเดียวกันมีราคาถูกกว่าการแยกเม็ดยา ก็จะช่วยประหยัดค่ายาได้
 
5. การเลือกแหล่งจำหน่ายยา
ในประเด็นที่ 5 นี้ ราคายาของบ้านเรามีราคาแตกต่างกัน โดยทั่วๆ ไป ในยาชนิดเดียวกัน พบว่า "ราคายาที่โรงพยาบาลเอกชนจะมีราคาสูงกว่าโรงพยาบาลรัฐบาลหรือร้านขายยา" ในประเด็นนี้จึงมีผู้ป่วยจำนวนมากปรึกษาแพทย์และขอจ่ายค่าธรรมเนียมแพทย์ที่โรงพยาบาลเอกชน และขอใบสั่งยาเพื่อนำมาซื้อยาเองภายนอก (บางรายอาจยอมซื้อยาที่โรงพยาบาลเอกชนเพียงบางส่วน และซื้อยาส่วนใหญ่ภายนอกโรงพยาบาล) เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย
 
6. จำนวนการสั่งซื้อยา
ประเด็นสุดท้ายที่จะกล่าวถึงเพื่อช่วยประหยัดค่ายา คือ การซื้อครั้งละมากๆ หรือ "ซื้อโหล...ถูกกว่า" เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ต้องใช้ยาชนิดนั้นเป็นประจำเป็นเวลานานๆ การซื้อครั้งละมากๆ จะช่วยต่อรองราคา และลดค่าใช้จ่ายลงได้บ้าง
ดังนั้นในผู้ป่วยที่ต้องจ่ายเงินซื้อยาด้วยตนเอง และต้องการประหยัดค่ายา อาจปรึกษากับแพทย์ผู้สั่งใช้ยา หรือเภสัชกรทั้งที่อยู่ในโรงพยาบาลและที่ร้านยา เพื่อช่วยท่านประหยัดค่าใช้จ่ายด้านยา ไม่ว่าจะด้วยการทบทวนยาเท่าที่จำเป็นจริงๆ การแนะนำการปรับปรุงการดำเนินชีวิตประจำวัน การเลือกใช้ยาสามัญทดแทนที่ถูกกว่า การหักเม็ดยา การเลือกใช้ยาผสม การเสาะแสวงหาแหล่งจำหน่ายที่ถูกกว่า และการซื้อครั้งละมากๆ ทั้งนี้เพื่อคงประสิทธิภาพในการรักษา และช่วยประหยัดค่ายา ซึ่งนับวันจะมีราคาสูงขึ้น เป็นภาระค่าใช้จ่าย เป็นปัญหาทางเศรษฐกิจของผู้ป่วย ให้ทุเลาลงได้บ้างไม่มากก็น้อย สวัสดีครับ

ขอบคุณข้อมูลจากมูลนิธิหมอชาวบ้าน




Saturday, July 5, 2014

ห้ามใช้กระดาษทิชชูซับน้ำมันจากอาหาร

ทุกวันพระ ร้านอาหารข้างทางแถวบ้าน จะทำอาหารมังสวิรัติขาย พวกเต้าหู้ทอด เผือกทอด ไช้เท้าทอด ซึ่งอร่อยมาก มีอยู่ครั้งหนึ่งไปซื้อตอนเขากำลังทอดอยู่ ข้าพเจ้าเห็นเขาเอาของที่ทอดแล้วขึ้นมาวางบนถาดที่รองหนังสือพิมพ์ไว้ซับน้ำมัน ข้าพเจ้าตกใจว่า สมัยนี้ยังมีคนทำแบบนี้อีกหรือ  เพราะเป็นเรื่องที่รู้มานานแล้วว่า สารเคมีจากหนังสือพิมพ์ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายจะเป็นอันตรายได้ 

ตอนนี้ก็มีข่าวเรื่องไม่ควรใช้กระดาษทิชชูซับน้ำมันจากอาหาร ต้องใช้กระดาษซับมันอาหารโดยเฉพาะที่ได้มาตรฐานสากล 
รายละเอียดของข่าว คือ
กรมอนามัย เตือนประชาชนห้ามใช้ "กระดาษทิชชู" ซับน้ำมันจากอาหาร เสี่ยงรับ "โซดาไฟ" และ "สารไดออกซิน" ซึ่งเป็นสารก่อ "มะเร็ง" แนะใช้กระดาษซับมันอาหารที่ได้มาตรฐานสากล...
เมื่อวันที่ 2 ก.ค. 57 ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวในโซเชียลเน็ตเวิร์ก เกี่ยวกับอันตรายจากการใช้กระดาษทิชชูซับอาหารทอด ว่า แม่บ้าน แม่ครัว หรือผู้ค้าอาหาร ไม่ควรใช้กระดาษทิชชูมาซับน้ำมันจากอาหาร เพราะเนื้อเยื่อเล็กๆ ของกระดาษทิชชูจะติดในอาหาร ทำให้เราได้รับสารเคมีต่างๆ ที่อยู่ในกระดาษทิชชูไปด้วย เนื่องจากกระดาษทิชชูผลิตมาจากเยื่อกระดาษบริสุทธิ์ โดยมีวัตถุดิบ คือ ต้นไม้ เช่น ต้นไผ่ หรือต้นไม้อื่นๆ แต่ปัจจุบันสังคมให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น จึงมีการนำกระดาษหมุนเวียนใหม่ เช่น กระดาษ A4 ที่ใช้แล้ว นำไปผลิตกระดาษทิชชู หรือแม้แต่กระดาษฟางที่ผลิตจากฟางข้าว ซึ่งในกระบวนการตีวัตถุดิบให้เป็นเนื้อเยื่อต้องใช้โซเดียมไฮดรอกไซด์ หรือโซดาไฟ และเพื่อความขาวน่าใช้ จึงมีการใช้สารคลอรีนฟอกขาวและมีสารไดออกซิน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งเป็นส่วนประกอบด้วย
ดร.นพ.พรเทพ กล่าวต่อว่า สารโซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) หรือโซดาไฟ เมื่อทำปฏิกิริยากับโปรตีนและไขมัน จะมีฤทธิ์กัดกร่อนเนื้อเยื่อรุนแรง ทำให้บริเวณนั้นอ่อนนุ่ม กลายเป็นวุ้น หรือเจลาตินและสบู่ เนื้อเยื่อถูกทำลาย หรือถูกกัดลึกลงไป ซึ่งการทำลายอาจต่อเนื่องหลายวัน การหายใจเอาไอ หรือละอองสาร ยังส่งผลให้ระคายเคืองต่อทางเดินหายใจส่วนบน ทำให้จาม ปวดคอ น้ำมูกไหล ปอดอักเสบรุนแรง หายใจขัด การสัมผัสถูกผิวหนังจะระคายเคืองรุนแรง เป็นแผลไหม้และพุพองได้ การกลืนกินทำให้แสบไหม้บริเวณปาก คอ และกระเพาะอาหาร ส่วนสารไดออกซิน (dioxins) เป็นสารที่สถาบันวิจัยมะเร็งระหว่างชาติจัดให้เป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ เมื่อร่างกายได้รับเข้าไปจะไม่ทำให้เกิดอาการอย่างเฉียบพลัน แต่อาการจะค่อยๆ เกิด และเพิ่มความรุนแรงจนถึงเสียชีวิตได้
"การซับน้ำมันจากอาหาร กระดาษที่ใช้จะสัมผัสกับอาหารโดยตรง จึงต้องเลือกใช้กระดาษที่ผลิตมา เพื่อใช้กับอาหารโดยเฉพาะ และต้องผ่านการรับรองตามมาตรฐานระดับสากล เช่น HACCP (Hazard Analysis Critical Control Point) เป็นมาตรฐานการผลิตที่มีมาตรการป้องกันอันตราย ที่ผู้บริโภคอาจได้รับจากการบริโภคอาหาร เป็นที่นิยมใช้ในวงการอุตสาหกรรมอาหาร ร้านอาหารข้ามชาติ หรือร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด ซึ่งจะต้องไม่มีสารเคมีที่เป็นอันตรายออกมาปนเปื้อนกับอาหาร ไม่ปนเปื้อนเชื้อโรค ไม่มีสิ่งแปลกปลอมติดค้างอยู่ เช่น เศษกระดาษ
นอกจากนี้ การนำกระดาษหนังสือพิมพ์มาใช้ห่อบรรจุอาหารทอดต่างๆ ก็เป็นอันตราย เพราะน้ำมันจะเป็นตัวละลายสารเคมีในหมึกพิมพ์ได้เป็นอย่างดี ทำให้ผู้บริโภครับประทานอาหารที่ปนเปื้อนสารเคมีเข้าสู่ร่างกาย แม้ผู้บริโภคไม่สามารถตรวจสอบมาตรฐานกระดาษที่ผู้ค้านำมาซับมันจากอาหารได้ แต่สามารถหลีกเลี่ยงอาหารมันและอาหารทอด เพื่อความปลอดภัยจากการรับสารเคมีตกค้าง และเพื่อสุขภาพที่ดีของผู้บริโภคด้วย" อธิบดีกรมอนามัย กล่าว.

ไทยรัฐออนไลน์


Friday, June 27, 2014

Miracle slim plus ถูกตรวจแล้วเป็นยาที่ผิดกฏหมาย

อาหารเสริม miracle slim plum ข้าพเจ้าเห็นขายดีในออนไลน์ เพราะมีภรรยาดาราเป็นเจ้าของ และฝ่ายเจ้าของสินค้ามีการเข้าไปโต้ตอบในพันทิพด้วยข้อมูลที่ไม่ใช่หลักวิชา สุดท้ายตอนนี้โดนจับแล้ว เพราะเป็นยาผิดกฏหมายทั้งหมดไม่ใช่สมุนไพรอย่างที่แอบอ้างและมีผู้บริโภคแล้วเกิดอาการแพ้รุนแรง

รายละเอียดข่าว ดังนี้

เมื่อเวลา 11.00 น.วันที่27มิ.ย.2557 เภสัชกรอัปสร บุญยัง รองหัวหน้ากลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพิษณุโลก แถลงผลการจับกุมผู้ลักลอบและผลิตยาลดความอ้วน ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารMiracle Slim Plus ตั้งอยู่เลขที่85/2หมู่2ต.บึงพระ อ.เมือง จ.พิษณุโลก ซึ่งเป็นบ้านของ พ.ต.เสวก มาเวหา อายุ66ปี และจากการตรวจสอบพบการผลิตจริงโดยมีการจัดสถานที่ อุปกรณ์การผลิต และยาแผนปัจจุบันจำนวนมาก ที่ผู้ผลิตอ้างว่าเป็นสารสกัดจากสมุนไพร ซึ่งระบุว่าเป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารดังกล่าว รวมของกลาง 24รายการมูลค่ากว่า 3 ล้านบาท
เภสัชกรอัปสร กล่าวว่า ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภครายหนึ่ง เมื่อวันที่13มิ.ย.ที่ผ่านมาว่า ได้ซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารMiracle Slim Plus เพื่อใช้ลดน้ำหนักผ่านทางผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แต่หลังจากรับประทานไปแล้วประมาณ2สัปดาห์ แล้วมีอาการปวดศีรษะ วิงเวียน แขนขาอ่อนแรง จนไม่สามารถทนอาการข้างเคียงได้ จึงหยุดใช้ยา จึงได้ทำการตรวจสอบจนพบแหล่งผลิตผลิตภัณฑ์ดังกล่าว
จากการตรวจสอบพบว่าเป็นยาปัจจุบัน 6ชนิด ที่มีผลข้างเคียงต่อระบบประสาท โดย 3ชนิด ที่ตรวจพบ คือ 
1.ยาฟลูอ๊อกซิติน เป็นตัวยาต้านอาการซึมเศร้า ออกฤทธิ์ต่อประสาทส่วนกลาง ใช้นานไปอาจทำให้เกิดประสาทหลอน วิตกกังวล เบื่ออาหาร 
2.ยาคลอเฟนิรามีน ซึ่งเป็นยาแก้แพ้ มีผลทำให้ง่วงนอน อาจเป็นอันตราย หากทำงานในที่สูงหรือ ขับรถ 
และ 3.ยาบิสาโคดิล เป็นยาระบาย ผลข้างเคียง คือทำให้ปวดท้อง ขาดสารอาหาร สมดุลเกลือแร่ผิดปกติ 

ผู้ต้องหาอ้างว่ารับยามาจากรพ.เอกชนแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงด้านการลดน้ำหนักในกทม.ส่วนยาอีก3ชนิด ทางเภสัชกร ได้ส่งตัวยาไปทำการตรวจสอบที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์อีกครั้ง
เบื้องต้น ทางเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินแจ้งข้อหา กระทำผิดตาม พ.ร.บ. ยา พ.ศ.2510มาตรา12คือ ห้ามมิให้ผู้ผลิต ขาย หรือ นำ หรือสั่งเข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งยาแผนปัจจุบันเว้นแต่จะได้รับอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกิน5ปี ปรับไม่เกิน15,000บาท ในส่วนของรพ.เอกชน ที่จำหน่ายยามาให้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารยี่ห้อนี้ ทางสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพิษณุโลก ได้แจ้งไปกับทาง อย. เพื่อดำเนินการตรวจสอบรพ.ดังกล่าว เนื่องจากทางโรงพยาบาลไม่มีอำนาจในการจำหน่ายจ่ายยาให้กับผู้อื่นแต่อย่างใด ซึ่งทางรพ.จะมีอำนาจเพียงแค่จ่ายยาให้กับผู้ป่วยเท่านั้น...

ข่าวจากเดลินิวส์

Monday, June 2, 2014

ยาอดบุหรี่แบบชาวบ้าน

มช.พบสมุนไพร หญ้าดอกขาว ช่วยเลิกบุหรี่ แถมลดเครียด
สมุนไพรหญ้าดอกขาวหรือหญ้าหมอน้อย
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) ร่วมกับ ศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมการบริโภคยาสูบ (ศจย.) และ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกันหาวิธีช่วยผู้เลิกบุหรี่ พบผลวิจัยสมุนไพรหญ้าดอกขาวหรือหญ้าหมอน้อย ร่วมกับการออกกำลังกาย ช่วยลดการสูบบุหรี่ได้ผลเกินคาด เกือบร้อยละ 80 ไม่มีอาการข้างเคียง แถมลดเครียด ลดก๊าซในลมหายใจ
       
       ดร.ดลรวี ลีลารุ่งระยับ อาจารย์คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เจ้าของผลงานวิจัย กล่าวว่า แต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากการสูบบุหรี่เป็นจำนวนมาก และบุหรี่ยังเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคร้ายต่างๆ โดยขณะนี้ประเทศไทยมีผู้สูบบุหรี่ประมาณ 9.4 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นชายร้อยละ 95.6 และหญิงร้อยละ 4.4 ในกลุ่มผู้สูบเหล่านี้เคยคิดจะเลิกสูบบุหรี่ร้อยละ 27.7 และเคยพยายามเลิกอย่างน้อย 1 ครั้งร้อยละ 6.3 ดังนั้นการส่งเสริมให้ประชาชนเลิกสูบบุหรี่จะสามารถช่วยลดอัตราการเจ็บป่วยและเสียชีวิตจากการสูบบุหรี่ได้
       
       สำหรับผู้ที่ต้องการเลิกบุหรี่ร้อยละ 1.2 นิยมใช้บริการคลินิกอดบุหรี่ ซึ่งมีการใช้พฤติกรรมบำบัดประกอบกับการใช้ยาช่วยเลิกบุหรี่ ทั้งในรูปของสารทดแทนนิโคติน แต่ยังมีค่าใช้จ่ายที่สูง ดังนั้น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จึงทำการวิจัยสมุนไพรที่ช่วยให้ลดการสูบบุหรี่ พบว่า สมุนไพรหญ้าดอกขาว หรือ สมุนไพรหญ้าหมอน้อย สามารถช่วยทำให้ลดอัตราการสูบบุหรี่ได้ดี โดยไม่มีอาการข้างเคียงแต่อย่างใด ช่วยให้ระดับของก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์ ในลมหายใจลดลงได้ 
       
       จากการทดลองในกลุ่มที่ใช้สมุนไพรหญ้าหมอน้อย จำนวน 50 ราย ร่วมกับการออกกำลังกาย เป็นเวลา 2 เดือน พบว่าสามารถช่วยลดจำนวนการสูบบุหรี่ลงได้มากถึงร้อยละ 62.7 และหากใช้ยาเป็นเวลา 6 เดือน จะช่วยลดการสูบบุหรี่ได้ถึงร้อยละ 73.3 ซึ่งมีผลทำให้ระดับความเครียดลดลงได้มากที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มออกกำลังกายเพียงอย่างเดียว และกลุ่มได้รับหญ้าหมอน้อยเพียงอย่างเดียว

    สารออกฤทธิ์ในหญ้าดอกขาว

              ด้านสารออกฤทธิ์ พบว่าในแต่ละส่วนของหญ้าดอกขาวมีสาระสำคัญที่แตกต่างกัน โดยที่โดดเด่นคือ ใบ จะมีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระโดยรวม (total antixidant capacity) ที่สูงที่สุด โดยมีสารประเภท ฟีนอลิก (total phenolics) และสารกลุ่มคาเทชิน (catechin) ฟลาโวนอยด์ (flavonoid) ไอโซฟลาโวน (isoflavone)

              นอกจากนี้แล้ว สิ่งที่สำคัญที่อาจเป็นคำตอบของสมุนไพรหญ้าดอกขาวในการช่วยเลิกบุหรี่คือ ในสารสกัดหยาบจากใบและดอกที่ได้จากการเคี่ยวมีสาระสำคัญคือ นิโคติน (nicotine) ในปริมาณต่ำ
              ดังนั้น กลุ่มคนที่สูบบุหรี่ที่ค่อย ๆ เลิกบุหรี่ได้โดยไม่มีอาการข้างเคียงนั้น อาจเป็นผลมาจากมีการทดแทนของสารนิโคตินในกระแสเลือดไม่ให้ขาดหายไปทันที แต่อย่างไรก็ตามการเลิกบุหรี่ที่ดีที่สุด นอกจากการใช้สมุนไพรหญ้าดอกขาวแล้ว ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมโดยหันไปออกกำลังกาย ร่วมกับความตั้งใจเพื่อตนเองหรือบุคคลที่คุณรักจะช่วยเสริมทำให้เลิกบุหรี่ได้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น

              สำหรับการศึกษาความปลอดภัยพบว่า หญ้าดอกขาวเป็นสมุนไพรที่มีความปลอดภัยสูง หลายแห่งได้มีการพัฒนาหญ้าดอกขาวในรูปแบบชาชงให้สามารถใช้ประโยชน์กันได้ง่ายขึ้น
       
       การทดลองใช้สมุนไพรหญ้าหมอน้อยในครั้งนี้ จึงสามารถทำได้ 2 วิธี คือ 1.ยาเคี่ยว ที่ใช้หม้อดิน โดยใช้สมุนไพรหญ้าหมอน้อยที่มีดอกลักษณะดอกตูม 1 ส่วนต่อน้ำ 3 ส่วน และเคี่ยวให้เหลือ 1 ส่วน ก่อนดื่มเมื่อมีอาการอยากบุหรี่ 
       
       2.ชา ชงกับน้ำร้อน ดื่มหลังอาหาร 3 มื้อ ซึ่งวิธีเหล่านี้จึงเป็นทางเลือกให้กับผู้ที่ต้องการเลิกบุหรี่ด้วยการใช้ยาสมุนไพร และสามารถลดจำนวนผู้สูบบุหรี่ในประเทศได้

      ปัจจุบัน ชาหญ้าดอกขาวถูกบรรจุอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ พ.ศ. 2555 ในส่วนยาพัฒนาจากสมุนไพร สำหรับลดความอยากบุหรี่ ในรูปแบบชง (รพ.) กินครั้งละ 2 กรัม ชงน้ำร้อนประมาณ 120-200 มิลลิลิตร หลังอาหาร วันละ 3-4 ครั้ง ในบางรายจะมีอาการ ปากแห้ง คอแห้ง และควรระวังการใช้ในผู้ป่วยโรคหัวใจ และโรคไตเนื่องจากยาหญ้าดอกขาวมีโพแทสเซียมสูง 




Monday, May 12, 2014

การปฐมพยาบาลเมื่อถูกตะขาบกัด

ช่วงนี้เดือนพฤษภาคม ฝนเริ่มตกหลังจากร้อนมากเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา สัตว์ต่าง ๆ อย่างตะขาบ กิ้งกือ สัตว์เลื้อยคลานต่าง ๆ โผล่มาให้เห็นตามบ้านมากขึ้น วันก่อน ข้างบ้านจับตะขาบยักษ์ยาวหนึ่งคืบกว้างหนึ่งนิ้วได้ เจอมันมาอยู่ในห้องน้ำ เจ้าของบ้านจับไปปล่อยป่ารกข้างหมู่บ้าน

วันนี้เลยมาดูข้อมูลเรื่องการปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อถูกสัตว์และแมลงมีพิษกัด

จากหมอชาวบ้าน http://www.doctor.or.th/article/detail/6358

“ตะขาบ” ชอบซุกตัวอยู่บริเวณที่อับชื้นและรก เช่น ใต้ตุ่มน้ำ กองไม้ ซากต้นไม้ตาย เด็ก ๆ มักถูกตะขาบกัดบ่อย เนื่องจากซุกซนชอบรื้อค้น 


“พิษของตะขาบ” โดยทั่วไป ไม่ใคร่มีอาการรุนแรง ที่พบบ่อย คือ ปวด บวม แดงเล็กน้อย บริเวณที่กัดมีรอยเขี้ยวเป็นสองจุด บางรายอาจมีอาการรุนแรง คือ มีไข้ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ ใจสั่น และบริเวณแผลที่ถูกกัดเน่า

เมื่อถูกตะขาบกัด ให้ปฏิบัติดังนี้1. ล้างบริเวณแผลด้วยน้ำสะอาด ฟอกสบู่ และล้างออกให้หมด ทำซ้ำหลายครั้ง
2. ใช้ครีมยาแก้แพ้ทาบริเวณที่บวมแดง เช่น เพร็ดนิโซโลน
3. ถ้าปวดมากกินยาแก้ปวด พาราเซตามอล และใช้น้ำแข็งวางประคบ
4. ในรายที่มีไข้ ปวดศีรษะ หลังกินยาแล้ว นอนพัก ถ้าอาการไม่ดีขึ้นควรไปพบแพทย์
 

Wednesday, May 7, 2014

ดูแลผิวอย่างไรดีเมื่อเป็นสิว

ทุกคนที่มีสิวเกิดขึ้น ไม่ว่าจะบนใบหน้า หรือแผ่นหลังก็ตาม มักประสบปัญหาผิวหนังมีร่องรอยจากสิว จำนวนมากบ้าง น้อยบ้าง แตกต่างกันไปตามสภาพผิว และ/หรือพฤติกรรมขณะเกิดสิวด้วย

มีข้อแนะนำสำหรับการดูแลผิวของผู้ที่เป็นสิวโดยทั่วไป ดังนี้
1. ล้างหน้าด้วยสบู่อ่อน 
ตอนเช้าล้างหน้า 1 ครั้ง และตอนเย็นอีก 1 ครั้ง หลังออกกำลังกายหากเหงื่อออกมากอาจล้างหน้าได้ แต่ถ้าหน้าแห้งมากอาจลดการใช้สบู่ลงได้

2. การขัดถูใบหน้า ไม่ควรใช้สบู่ที่แรงๆ สบู่ยา หรือสบู่ที่ผสมเม็ดขัดถู ควรล้างหน้าอย่างแผ่วเบา  โดยล้างหน้าตั้งแต่ใต้คางไปจดแนวไรผมที่หน้าผาก 
หลังฟอกสบู่ต้องล้างสบู่ออกให้หมด หลีกเลี่ยงการใช้โลชันที่ผสมแอลกอฮอล์เช็ดใบหน้า เว้นเสียแต่ว่าผิวหนังมันมากและก็ควรใช้เฉพาะบริเวณที่ผิวมันมากเท่านั้น ควรสระผมอย่างสม่ำเสมอ และผู้ที่มีผมมันมากอาจต้องสระผมทุกวัน

3. ไม่บีบแกะสิว 
การบีบแกะสิวจะทำให้เกิดสิวอักเสบลุกลาม แผลเป็น และรอยดำ ไม่ควรถูและจับผิวหนังบ่อยๆ โดยเฉพาะตรงบริเวณที่เป็นสิว

4. โกนหนวดอย่างระมัดระวัง
การโกนหนวดแต่ละครั้งอาจลองเลือกใช้ทั้งใบมีดโกน หรือเครื่องโกนหนวดไฟฟ้า ทดลองดูว่าแบบใดจะเหมาะสมสำหรับสภาพผิวของตนเองมากที่สุด ในผู้ที่ใช้มีดโกนต้องเปลี่ยนใบมีดเสมอ ควรล้างหน้าฟอกสบู่และถูสบู่บริเวณหนวดเคราและทิ้งไว้จนเส้นขนนุ่มขึ้น แล้วจึงทาครีมโกนหนวด 
เวลาโกนหนวดจะต้องโกนตามแนวเส้นขน  อย่าโกนย้อนขึ้น เพราะอาจทำให้เกิดตุ่มขนคุดแล้วอักเสบเป็นหนองได้

5. หลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดจัด  
ยารักษาสิวส่วนใหญ่มักทำให้ผิวไหม้แดดง่ายขึ้น  บางคนเชื่อว่าการอาบแดดจัดทำให้สิวหายเร็ว เพราะเมื่อผิวคล้ำขึ้นจะกลบเกลื่อนรอยอักเสบเห่อแดงและรอยดำของสิว แต่แท้ที่จริงแล้วแสงแดดจัดอาจทำให้สิวกำเริบและยังทำให้ผิวเหี่ยวแก่ และเกิดมะเร็งผิวหนังง่ายขึ้น

6. การใช้ยาทารักษาสิวที่ซื้อมาเอง 
ต้องอ่านฉลากยาให้เข้าใจละเอียดเสียก่อน ถ้าเป็นยาที่สั่งจ่ายโดยแพทย์ต้องใช้ตามคำแนะนำและใช้อย่างสม่ำเสมอ

7. ผลิตภัณฑ์ปกปิดรอยสิว (cover - up products)
ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ปกปิดสิวหลายชนิดที่อาจพรางให้สิวจางลง และรอเวลาให้สิวหายเองได้ ส่วนใหญ่ใช้ได้ผลและไม่ทำให้สิวเลวลง

8. เครื่องสำอางบางตัวและผลิตภัณฑ์บำรุงผิว
มีเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่อาจทำให้สิวเลวลงได้ เลือกผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่า ไม่ก่อให้เกิดสิว (non comedogenic)

9. อาหารหวานจัด
งดกินอาหารหวานจัด เช่น ขนมหวาน อาหารจำพวกแป้ง และอาหารที่มีไขมันหรือส่วนผสมของนมและผลิตภัณฑ์จากนมสูง พยายามไม่เครียด โดยการออกกำลังกาย และนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ

สงสัยเรื่องสิว  อ่านเพิ่มเติมได้ที่ ดูแลผิวอย่างไรดีเมื่อเป็นสิว จากหมอชาวบ้าน

Wednesday, April 30, 2014

โดนน้ำร้อนลวก

ผู้ชายคนหนึ่งเดินมาที่ร้านขายยา ขอซื้อยาทาแผล เพราะโดนน้ำร้อนกระเซ็นใส่ที่หน้าท้อง ได้ใช้ว่านหางจระเข้ทาไปก่อนแล้ว เขาเปิดเสื้อยืดที่ใส่อยู่โชว์ท้องให้ข้าพเจ้าดู แผลเริ่มพองเป็นตุ่มน้ำใสหลายตุ่ม แผลดูสะอาดดี ข้าพเจ้าได้แนะนำยาทา MEBO สำหรับแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกให้ แล้วปิดทับด้วยผ้าก๊อสและเทปเพื่อกันความสกปรก

(อ่านเพิ่มเติมเรื่อง จะทำอย่างไรเวลาน้ำร้อนลวก จากหมอชาวบ้าน
http://www.doctor.or.th/article/detail/5621)

น้ำร้อนลวกจะทำอย่างไร
อุบัติเหตุเกิดได้ตลอดเวลาและทุกสถานที่ หากไม่มี “จิตปลอดภัย” หมายถึงไม่มีความระมัดระวัง อุบัติเหตุในบ้านที่พบบ่อยพบได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่อย่างหนึ่งคือ น้ำร้อนลวก จะโดยสาเหตุใดก็ตามย่อมเกิดการทำลายของผิวหนัง เนื้อเยื่อหรือกล้ามเนื้อ

“น้ำร้อนลวก
” ในเด็ดมีอันตรายมากกว่าผู้ใหญ่ เพราะพื้นที่บนร่างกายของเด็กมีน้อยบริเวณน้ำร้อนลวกจึงกว้างและอาจถูกอวัยวะสำคัญ เช่นลูกตา
1. อย่าตกใจ! จนทำอะไรไม่ถูก

2. นำผู้ได้รับอุบัติเหตุออกจากบริเวณที่มีน้ำร้อน

3. ใช้น้ำสะอาด (ถ้าเป็นน้ำเย็นยิ่งดี) ราดลงบริเวณที่ถูกลวก เพื่อช่วยระบายความร้อน
- อย่า! ถูบริเวณที่ถูกน้ำร้อนลวก เพราะจะทำให้ผิวหนังหรือเนื้อเยื่อถูกทำลายมากขึ้น
- อย่า! แกะแผลที่พองเพราะจะทำให้มีการติดเชื้อโรคที่บาดแผลและเสียน้ำจากร่างกาย
- อย่า! ใช้น้ำปลาราด เพราะนอกจากจะเหม็นและแสบแล้ว ยังมีโอกาสนำเชื้อโรคเข้าสู่แผลอีกด้วย

4. ถ้าผู้ถูกน้ำร้อนลวกเป็นเด็ก หรือบริเวณที่ถูกน้ำร้อนลวกกว้างลึก หรือถูกอวัยวะสำคัญควรรีบนำส่งสถานพยาบาลหลังจากใช้น้ำสะอาดราดแล้ว

5. ถ้าถูกน้ำร้อนลวกเพียงเล็กน้อย ไม่มีแผล ใช้น้ำแข็งประคบจะทุเลาอาการปวดแสบปวดร้อนลง จากนั้นใช้วาสลินทาบางๆ

6. ถ้ามีแผลพองอย่าแกะ ในไม่ช้าน้ำในแผลพองจะถูกดูดซึมแห้งไปเอง ถ้าแผลพองแตก ให้ใช้ยาแดงแต้มบางๆ

7. ถ้าน้ำร้อนลวกถูกบริเวณตา ให้ป้ายตาด้วยขี้ผึ้งป้ายตาปฏิชีวนะหรือพาราฟีนเหลวหลับตาไว้ปิดตาด้วยผ้าสะอาด ถ้าปวดต้องให้ยาแก้ปวดแล้วนำส่งสถานพยาบาลโดยเร็ว

บุคคลที่ถูกน้ำร้อนลวกมากๆ และปล่อยทิ้งไว้หรือรักษาเองด้วยการพอกยา พ่นยา อาจมีอาการแทรกซ้อนจาก 
(1) เสียน้ำมาก มีไข้สูง
(2) แผลติดเชื้อโรคทำให้แผลเน่า หรือเกิดเชื้อบาดทะยัก
(3) กล้ามเนื้อหรือเอ็นถูกทำลาย ทำให้อวัยวะยึดติดกันหรือผิดรูป เช่น บริเวณนิ้วมือ นิ้วเท้า เป็นต้น

ดังนั้น “ควรระมัดระวัง” โดยเฉพาะเด็กในวัยต่างๆให้พ้นจากการถูกน้ำร้อนลวก น้ำมันกระเด็น น้ำมันลวก เพราะเด็กยังป้องกันตนเองไม่ได้ พ่อแม่ผู้เลี้ยงดูสามารถป้องกันให้เด็กได้ โดยการมีจิตปลอดภัย

Tuesday, April 29, 2014

เด็กเล็กโดนแมวข่วน

เช้านี้ คุณแม่ท่านหนึ่งอุ้มลูกอายุ 1 ขวบมาให้ดูแขนเป็นรอยขีดแดง ๆ 3-4 ขีด ยาวประมาณ 0.5- 1นิ้ว บอกว่า เมื่อวานโดนแมวแถวบ้านข่วน วันนี้พาไปศูนย์สาธารณสุขใกล้บ้านแล้ว แต่เห็นคนไข้เยอะมากรอไม่ไหว เลยพาลูกมาที่ร้านยา ข้าพเจ้าก็แนะนำว่า ควรพาไปศูนย์สาธารณสุข เพื่อพบแพทย์ให้วินิจฉัย เพราะจะต้องฉีดวัคซีนกันโรคพิษสุนัขบ้าไว้ ฉีดประมาณ 4-5 ครั้ง ถึงจะครบ และควรนำสมุดฉีดวัคซีนประจำตัวเด็กไปด้วย เพื่อดูว่าได้เคยฉีดบาดทะยักแล้วหรือยัง

วันรุ่งขึ้น คุณแม่ก็มาเล่าว่า ต้องฉีดวัคซีนกันโรคพิษสุนัขบ้า 4 ครั้ง แต่ครั้งที่ 4 อาจไม่ต้องฉีด ถ้าแมวตัวที่ข่วนยังไม่เป็นไรหลัง10วัน

ยังมีเรื่องที่ฟังมาอีกต่อว่า มีคนโดนแค่น้ำลายสุนัขที่เป็นโรค โดยถูกขาที่มีแผล ก็ทำให้ติดเชื้อได้ถึงกับเสียชีวิตก็มี

ที่จริงแล้ว สัตว์เลี้่ยงต่าง ๆ ไม่ว่า หนู กระรอก ลิง ค่าง สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั้งหลาย มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้กัน ถ้าโดนกัด ก็ต้องฉีดวัคซีนป้องกัน

 อ่านความรู้เกี่ยวกับแนวทางเวชปฏิบัติโรคพิษสุนัขบ้าได้ที่
http://thaigcd.ddc.moph.go.th/uploads/pdf/pat_3/Rabies/Rabies_CPG56_QA_Low.pdf

Monday, April 7, 2014

ผู้ป่วยบางโรคควรระวังหากต้อง "ขูดหินปูน"

จากไทยรัฐออนไลน์
กรมอนามัยเผยผู้ป่วย 8 โรคควรระวังพิเศษ หากรับบริการ "ขูดหินปูน" ย้ำต้องแจ้งทันตแพทย์ก่อนทุกครั้ง เตรียมพร้อมรักษาหากอาการกำเริบ...
ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า การดูแลสุขภาพช่องปากเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะการขูดหินปูนหรือหินน้ำลายเพื่อป้องกันเหงือกอักเสบและโรคปริทันต์ ซึ่งการสำรวจโดยสำนักทันตสาธารณสุข ในปี 2555 พบว่า คนไทยวัยทำงานกว่าร้อยละ 70 มีหินปูนเกาะบนตัวฟัน ต้องได้รับการดูแลโดยการขูดหินปูน ซึ่งการขูดหินปูนทันตแพทย์จะใช้เครื่องมือขจัดหินปูนแบบที่ทีความสั่นสะเทือนทำให้หินปูนหลุดออก และยังมีเครื่องมือชิ้นเล็ก (Hand instruments) ขูดหินปูนโดยละเอียดอีกครั้ง ซึ่งในขั้นตอนนี้อาจทำให้มีเลือดออกบ้างตามอาการของเหงือกอักเสบหรือโรคปริทันต์ที่ส่วนใหญ่จะมีอาการมากน้อยแตกต่างกันไป แต่จะไม่มากจนมีผลใดๆ ต่อผู้ป่วย
“ทั้งนี้ เฉพาะผู้ป่วยบางโรค ที่ต้องระวังและแจ้งทันตเพทย์ก่อนทุกครั้งที่เข้ารับบริการทำฟันหรือขูดหินปูน ซึ่งกลุ่มแรกเป็นกลุ่มโรคที่เลือดออกง่ายและหยุดไหลยาก ได้แก่ โรคเกล็ดเลือดต่ำหรือโรคลูคีเมีย อาจมีจ้ำเลือดหรือจุดเลือดออกตามร่างกายร่วมด้วย โรคไตและผู้ที่มีประวัติเคยล้างไต เพราะจะได้รับยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด ผู้ที่มีประวัติการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจและการใช้ยาละลายลิ่มเลือด และกลุ่มที่สองเป็นกลุ่มที่อาจแสดงอาการในระหว่างการทำฟัน ได้แก่ โรคหัวใจอาจมีอาการเจ็บหน้าอก หอบเหนื่อยใจสั่น โรคหอบหืดอาจมีอาการหอบเหนื่อย ต้องมียาพ่นประจำ และได้รับยา Steriod โรคลมชักและโรคความดันโลหิตสูง และสุดท้าย คือ โรคเบาหวานเพราะมีผลกระทบทำให้แผลหายยาก ซึ่งหากแจ้งให้ทันตแพทย์ได้รับทราบก่อนจะช่วยให้สามารถเตรียมป้องกันและเตรียมความพร้อมในกรณีที่อาการกำเริบได้” อธิบดีกรมอนามัยกล่าว
ด้าน ทพ.สุธา เจียรมณีโชติชัย รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวเพิ่มเติมว่า หินปูนหรือหินน้ำลายเป็นคราบจุลินทรีย์ที่มีการสะสมของแคลเซียมในน้ำลายในระยะเวลาหนึ่งจนเกิดการแข็งตัวคล้ายหินปูน ซึ่งจะสะสมเชื้อโรคหลายชนิดและเป็นแหล่งผลิตสารพิษที่เป็นสาเหตุทำให้เหงือกอักเสบและเป็นโรคปริทันต์ได้ วิธีการดูแลและป้องกันการเกิดหินปูนหรือหินน้ำลาย คือ การกำจัดคราบจุลินทรีย์โดยแปรงฟันให้สะอาด ทุกวัน วันละ 2 ครั้ง โดยเฉพาะบริเวณคอฟันไม่ให้เป็นที่สะสมของคราบจุลินทรีย์จนกลายเป็นหินปูนได้ นอกจากนี้ทันตแพทย์จะแนะนำให้มาตรวจสุขภาพช่องปากทุกปี และหากมีหินปูนก็ควรขูดหินปูนอย่างน้อยปีละครั้งเพื่อการมีสุขภาพช่องปากที่ดีและลดการสูญเสียฟันในอนาคตอีกด้วย”.

Monday, March 17, 2014

Thursday, March 6, 2014

Formalin

อย.เพิ่มโทษ-ใช้ยาฉีดศพในอาหาร

 เมื่อวันที่ 6 มี.ค.2557 เภสัชกรประพันธ์ อางตระกูล รอง เลขาธิการอย. เผยว่า อย.ส่งหนังสือแจ้งไปยังสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกแห่ง ให้แจ้งเตือนร้านขายยาห้ามจำหน่ายสารฟอร์มาลินให้กับผู้ไม่มีใบอนุญาตหลังเจ้าหน้าที่ตรวจพบการใช้สารดังกล่าวเป็นจำนวนมากในร้านเนื้อย่างและจิ้มจุ่ม ในหลายจังหวัดในพื้นที่ภาคอีสาน โดยเฉพาะกลุ่มอาหารทะเล ปลาหมึก ปลาหมึกกรอบ เป็นต้น

 เภสัชกรประพนธ์กล่าวว่า ขณะนี้สารดังกล่าววัตถุอันตรายประเภทที่ 3 คือห้ามจำหน่ายและนำเข้า หากจะดำเนินการต้องมีใบอนุญาตขึ้นทะเบียนจากอย. มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท ซึ่งจะหารือร่วมกับคณะกรรมการวัตถุอันตราย เพื่อยกระดับเป็นวัตถุอันตรายประเภทที่ 4 ห้ามผลิตนำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองอย่างเด็ดขาด มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 1,000,000 บาท ระหว่างนี้หากพบมีร้านค้าไหนผสมสารฟอร์มาลินในอาหาร จะเข้าข่ายอาหารไม่บริสุทธิ์ มีโทษจำคุก 2 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 


จาก ข่าวสดออนไลน์
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNNU5ERXhNVE0wTVE9PQ==&subcatid=

Friday, February 28, 2014

เผย 10 จุดเจ็บปวดตามร่างกาย มีที่มา

จากเดลินิวส์ออนไลน์

อาการเจ็บปวดเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ มักสร้างความกังวลเพราะนอกจากจะไม่รู้ที่มาแล้ว เรายังไม่อาจเห็นสภาพภายในได้ เรื่องนี้ นายแพทย์กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ มีข้อมูลมาไขข้อข้องใจโดยเฉพาะอาการปวด 10 จุด ต่อไปนี้

'เจ็บต้นคอร้าวแขน' เจ็บนี้ต้องระวังเส้นประสาทต้นคออาจถูกกดหรือบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ยกของหนักที่ผ่านมาได้ 'เจ็บแขนร้าวปลายมือ' ดูเรื่องเส้นประสาทให้ดีมีสิทธิ์เกิดจากพังผืดไปรัดเส้นประสาทหรือเกิดมาจากศูนย์รวมประสาทที่ต้นคอก็ยังได้

'ปวดศีรษะร้าวต้นคอ' อาจเป็นเพียงกล้ามเนื้อที่เกร็งตึงเวลามีความเครียดธรรมดา แต่ถ้ามีตาพร่าบวกคลื่นไส้อาเจียนด้วยก็ต้องจับตาอาการด้านสมอง 'ปวดหลังร้าวลงขา' น่าจะเกิดจากหมอนรองกระดูกกดเส้นประสาทเป็นหลัก โดยเฉพาะหลังส่วนบั้นเอวเป็นจุดอ่อนที่สำคัญ การดูว่าปวดหลังถึงขั้นไหนให้ดูอาการร้าวลงขา

'เจ็บอกวิ่งไปแขนซ้าย' ร้ายเสียยิ่งกว่าอกหักเพราะมักเกี่ยวถึงโรคหัวใจขาดเลือด ให้สังเกตอาการปวดว่าเหมือนถูกบีบหรือถูกงูเหลือมตัวใหญ่รัดด้วยหรือไม่ 'ไอแล้วปวดร้าวลงก้นกบ' บางคนเวลาไอหรือเบ่งท้องแรงๆ แล้วมีอาการเจ็บร้าวไปหลังหรือก้นกบเบื้องล่างทุกครั้ง ต้องเฝ้าระวังโรคหมอนรองกระดูกทับเส้น

'เจ็บท้องน้อยร้าวลงหน้าขา' ในสตรีต้องระวังเรื่องอุ้งเชิงกรานอักเสบ ส่วนในหนุ่มๆ ให้ระวังนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ถ้ามีไข้ร่วมด้วยให้ช่วยระวังการติดเชื้อเป็นหลัก 'เจ็บท้องส่วนอื่นๆ แล้วร้าวทะลุหลัง' อาการเจ็บหน้าไปหลังเช่นนี้ถ้าเป็นที่ตับ คือ ด้านบนขวาให้นึกถึงถุงน้ำดีที่อาจไม่ดีสมชื่อ เพราะนี่เป็นสัญญาณนิ่วในถุงน้ำดีหรือถุงน้ำดีอักเสบ ส่วนถ้าเจ็บตรงกลางร่วมกับไข้สูงให้นึกถึงตับอ่อนอักเสบ (Acute pancreatitis) แบบเฉียบพลัน

'เจ็บบั้นเอวแถวสีข้างร้าวลงขา' ยิ่งถ้าเจ็บบั้นเอวด้านใดด้านหนึ่งแล้วร้าวด้วย ให้นึกถึงก้อนนิ่วในกรวยไตหรือท่อไต ในบางรายอาจมีท่อปัสสาวะอักเสบร่วมกับมีไข้ รู้สึกหนาวและปัสสาวะปนเลือดอีก หากเป็นเช่นนี้แนะให้ช่วยรีบไปตรวจปัสสาวะ เอ็กซเรย์หรืออัลตร้าซาวน์

และสุดท้าย 'เจ็บตามผื่นแล้วร้าวลงเส้นประสาท' การที่มีผื่นเป็นตุ่มน้ำใสแล้วมีอาการแสบร้อนหรือเคยมีประวัติโรคเริม งูสวัด ให้ระวังอาการปวดร้าวไปตามปลายประสาท แม้ไม่มีผื่นแล้วก็อาจทิ้งอาการแสบร้อนไว้ได้ บางรายเจ็บแสบอยู่ตามแนวเส้นประสาทเป็นครั้งคราว

คุณหมอกฤษดา ย้ำว่า สัญญาณเจ็บร้าวทั้งสิบที่ว่ามาเป็นวิธีดูคร่าวๆ เท่านั้น แต่ก็ช่วยทำให้ได้ร่องรอยของโรคที่ซ่อนอยู่ได้ อย่างไรก็ตาม ทางที่ดีที่สุดคือ พบแพทย์แล้วตรวจหาความผิดปกติให้ทราบชัดเจนชัวร์กว่า.