เวลาที่ข้าพเจ้าอยู่ร้านยา
คนที่เข้ามาซื้อยา จะถามว่า “ดีคอลเจนหรือทิฟฟี่อย่างไหนดีกว่ากัน?” ข้าพเจ้าสังเกตว่า
ช่วงนี้ทีวีมีโฆษณายาสองตัวนี้ จึงมีคนมาซื้อที่ร้านบ่อย มีบางคนบอกว่า "ตัวเขาเองกินครั้งละ
4 เม็ดไม่เห็นเป็นอะไรเลย ทำไมไปซื้อร้านสะดวกซื้อ
พนักงานร้านบอกว่าขายไม่ได้เพราะเป็นยาอันตราย” ข้าพเจ้าก็แนะนำตามหลักวิชาการไป
และหาข้อมูลเพิ่มเติมมาเขียนบทความนี้
Decolgen prin เป็นชื่อการค้าของบริษัทหนึ่ง
ส่วนTiffey dey เป็นชื่อการค้าของอีกบริษัทหนึ่ง
ยาทั้งสองชนิดนี้มีส่วนประกอบและปริมาณยาที่เหมือนกันทุกอย่าง ดังนี้
1. Paracetamol 500 mg มีคุณสมบัติ แก้ปวด ลดไข้
แก้ปวดหัว
2. Phenylephrine HCL 10 mg มีคุณสมบัติ
ช่วยลดอาการคัดจมูก (nasal
decongestant)
3. Chlorpheniramine Maleate 2 mg มีคุณสมบัติ ลดน้ำมูก ผลข้างเคียงของยาตัวนี้
คือ ทานแล้วง่วง
ดังนั้น จึงทำให้ทั้งยาดีคอลเจนและทิฟฟี่
มีข้อควรระวัง คือ อาจทำให้ง่วง แต่ว่า มีบางคน ทานแล้วง่วงมาก
บางคนทานแล้วง่วงน้อย บางคนทานแล้วไม่ง่วงเลย
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของแต่ละคนที่มีต่อยา Chlorpheniramine ซึ่งปกติ ขนาดยา หรือ doseของ Chlorpheniramine ในผู้ใหญ่คือ 4 mg ต่อเม็ด แต่ในสูตรดีคอลเจนและ ทิฟฟี่จะมีแค่ 2 mg ลดลงไปครึ่งหนึ่ง
ซึ่งน่าจะลดผลข้างเคียงคือ ความง่วง ลงได้มาก
ขนาดยา (Dose) ของดีคอลเจน-พริน และทิฟฟี่-เดย์ คือ เด็ก อายุ 6-12 ขวบ ทานครั้งละ 1
เม็ด ทุก4-6 ชั่วโมง
ผู้ใหญ่
ทานครั้งละ 1-2 เม็ด ทุก 4-6 ชั่วโมง
ยาส่วนใหญ่เมื่อทานเข้าไปแล้วจะใช้เวลา
15-30 นาที จะเริ่มออกฤทธิ์ และใช้เวลาออกฤทธิ์ในร่างกาย 4-6 ชั่วโมง จึงหมดฤทธิ์ เพราะถูกร่างกายค่อย ๆกำจัดออกไปทางปัสสาวะบ้าง
ทางเหงื่อบ้าง อุจจาระบ้าง ฯลฯ ดังนั้น เมื่อยาหมดฤทธิ์แล้ว
อาการโรคก็อาจกลับเป็นอีก ก็ต้องกินยาซ้ำทุก 4-6 ชั่วโมง
เช่น บางคนทานยาลดไข้ไป 4 ชั่วโมงระหว่างนั้นไม่มีไข้
แต่พอครบ 4 ชั่วโมง ยาหมดฤทธิ์ กลับมามีไข้อีก
จึงต้องกินยาซ้ำ
ดังนั้น
บางคนบอกว่าทานยาดีคอลเจนหรือทิฟฟี่ครั้งละ 4 เม็ด
จึงไม่ถูกหลักวิชา เพราะ ยาทั้ง 4 เม็ดจะหมดฤทธิ์พร้อมกัน
ถ้ายังมีอาการเป็นอีก ต้องกินยาซ้ำอีกทุก 4-6 ชั่วโมง
จึงควรกินแค่ 2 เม็ดก็พอสำหรับผู้ใหญ่ เพราะยาอีก 2
เม็ดเป็นยาส่วนเกินที่ไม่จำเป็นต่อร่างกาย เกิดผลเสียคือ
ร่างกายต้องทำงานหนักในการกำจัดตัวยาออก และ อาจเกิดผลข้างเคียงของยาเพิ่มขึ้นได้
เช่น อาการง่วงมากขึ้น ฯลฯ
เวลาที่ข้าพเจ้าอยู่ร้านยา
บางคนที่เข้ามาซื้อยา จะบอกว่า “เคยกินทั้งดีคอลเจนและทิฟฟี่ รู้สึกว่าทิฟฟี่กินแล้วง่วงมากกว่าดีคอลเจน"
บางคนบอกว่า "รู้สึกว่ายาทิฟฟี่แรงกว่าดีคอลเจน” ในฐานะเภสัชกร
ขอวิเคราะห์กระบวนการผลิตยาของทั้งสองบริษัท ซึ่งอาจส่งผลต่อปริมาณตัวยาได้
ขอเล่าคร่าว ๆ คือ
โดยปกติ เวลาผลิตยา เขาจะผสมตัวยาครั้งละหลายกิโลกรัมรวมกัน แล้วมาตอกเป็นเม็ดยาได้ทีละ พัน ๆ เม็ด จากนั้นก็ชั่งน้ำหนักเม็ดยาหาค่าเฉลี่ยต่อเม็ดให้ได้น้ำหนักที่กำหนด ซึ่งอาจคลาดเคลื่อนได้ บวกลบไม่เกิน 10 %
สมมติ ผู้ผลิตบริษัท ก.
มีความคลาดเคลื่อนของปริมาณยาไม่เกิน 5% ยา chlorpheniramine
จะมีปริมาณอยู่ที่ 1.9 mg-2.1 mg ต่อเม็ด
บริษัท ข.
คลาดเคลื่อนไม่เกิน 10% จะมียา chlorpheniramine 1.8 mg -2.2 mg ต่อเม็ด
ซึ่งมาตรฐานการผลิตยากำหนดความคลาดเคลื่อนไม่เกินบวกลบ
10 % จึงถือว่าทั้ง 2 บริษัทได้มาตรฐานตามกำหนด
เมื่อดูปริมาณยาแล้วจะแตกต่างกันเล็กน้อยเป็นจุดทศนิยม
ดังนั้น
ผู้ผลิตแต่ละรายจะใช้เครื่องมือการผลิตและการวัดค่าได้ละเอียดมากน้อยแตกต่างกัน
ก็อาจส่งผลให้ปริมาณยา,ฤทธิ์การรักษาและผลข้างเคียงแตกต่างกันได้บ้างเล็กน้อย
(หมายเหตุ
โดยส่วนใหญ่ โรงงานผลิตยาในประเทศไทยได้มาตรฐานการผลิต GMP ทุกโรงงานอยู่แล้ว
ผู้บริโภคจึงสามารถเชื่อมั่นกับผลิตภัณฑ์ยาที่ผลิตในประเทศว่าได้มาตรฐานอย่างแน่นอน)
ส่วนการที่จัดให้ยากลุ่มนี้เป็นยาอันตราย
ขายได้เฉพาะร้านขายยาแผนปัจจุบัน ก็เพราะตามกฏหมายกำหนดไว้ดังนี้
พระราชบัญญัติยา
พ.ศ. 2510 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม จำแนกยาเป็น 3 กลุ่ม คือ ยาอันตราย ยาควบคุมพิเศษ
และยาสามัญประจำบ้าน
ยาแต่ละกลุ่มจัดขึ้นตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขซึ่งจะประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ตามเหตุผลและความจำเป็น
เพราะยาแต่ละกลุ่มสามารถกระจายถึงมือผู้บริโภคต่างกัน กล่าวคือ
1.ยาสามัญประจำบ้าน
เป็นยาที่ได้รับการพิจารณาแล้วว่าปลอดภัย โอกาสเป็นอันตรายต่อสุขภาพมีน้อย ให้วางจำหน่ายได้โดยทั่วไป และผู้ซื้อสามารถตัดสินใจซื้อด้วยตนเองตามอาการเจ็บป่วย
2. ยาอันตราย
เป็นยาที่ต้องขายเฉพาะในร้านขายยาแผนปัจจุบันภายใต้การควบคุมของเภสัชกรผู้มีหน้าที่ปฏิบัติการ ได้แก่ ดีคอลเจน-พริน และทิฟฟี่-เดย์ ดังกล่าว
3. ยาควบคุมพิเศษ เป็นยาที่จ่ายได้เมื่อมีการนำใบสั่งยามาซื้อยา
กลุ่มนี้เป็นยาที่มีความเป็นพิษภัยสูงหรืออาจก่ออันตรายต่อสุขภาพได้ง่าย
จึงเป็นยาที่ถูกจำกัดการใช้
ส่วนข้อควรระวังอื่น ๆ
ในการใช้ยาดีคอลเจนและทิฟฟี่ อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ http://pharmacy-muay.blogspot.com/2009/11/blog-post_05.html