“กินยาจีนดีกว่า”จริงหรือ?
มีคุณป้าอายุประมาณ 77 ปี จะมาใส่บาตรพระตอนเช้าที่หน้าร้านยาของข้าพเจ้าทุกวัน ก็เลยเจอกันทุกเช้าแกมีโรคประจำตัว คือ โรคความดัน
(ใช้สิทธิ์ข้าราชการรักษาที่ศิริราช) และแกก็มีอาการปวดขา ปวดเอวปวดหลังประจำ ตามประสาคนสูงอายุ ซึ่งครั้งล่าสุดแพทย์ จ่ายยา norgesic มาให้ 60 เม็ด แกก็กินวันละ 3 มื้อ แกบอกว่ากินแป๊บเดียวหมด แกก็เลยมาซื้อยาที่ร้านข้าพเจ้ากินต่อ
แกบอกว่าพอไม่ได้กินยาก็ปวดอีก แล้วแกก็เล่าว่า
เพื่อนบ้านเห็นแกบ่นเรื่องกินยาแล้วไม่หายปวดซักที
เพื่อนบ้านเลยไปซื้อยาจีนจากเยาวราชมาให้กินฟรี แล้วก็แนะนำว่ายาฝรั่งอย่าไปกินเลย มันอันตราย
กินยาจีนดีกว่าปลอดภัยกว่า คุณป้าก็กินยาจีนครั้งแรก1 เม็ด หายปวดขา
ครั้งที่สองกินสองเม็ด หายปวดเอวและปวดหลัง เดินคล่องไม่ต้องใช้ไม้เท้า ก็เลยกินไปเรื่อย
ๆทั้งหมดเกือบสิบกล่อง กล่องละ 24 เม็ดภายในเวลาไม่ถึงสองเดือน แกเจอหน้าข้าพเจ้าทีไร
ก็จะพูดแต่ว่ากินยาจีนดีจังเลยหายปวด ข้าพเจ้าก็ได้ยินแกพูดมาหลายครั้งแล้ว จนวันนี้
คือวันที่ข้าพเจ้าเขียนบทความนี้ แกก็เอายาจีนมาให้ดู บอกว่า จะเอาไปแจกเพื่อน ๆ ของแกกินด้วย
เพราะเขาซื้อมาให้อีก5 กล่อง คือ
ได้ฟรีมาอีกนั่นเอง
(ข้าพเจ้าก็ขอเอามาถ่ายรูปไว้ ตามภาพข้างบน)
เมื่อข้าพเจ้าเห็นชื่อยา ก็ตกใจ เพราะทั้งกล่องเป็นตัวหนังสือจีน แต่มีเขียนชื่อยาเป็นภาษาอังกฤษว่า Diclofenac
sodium enteric coated tablet และนึกเดาได้เลยว่า
คุณป้าคนนี้ คงกินทีละหลายเม็ด เพราะเข้าใจว่าเป็นยาแผนโบราณที่ให้กินทีละ
สี่ห้าเม็ดแน่นอน(แกบอกว่า แกกินครั้งละ 2 เม็ด วันละ 2 ครั้ง เช้าเย็น)
เรื่องยาจีนของคุณป้าที่ข้าพเจ้าเจอคราวนี้ ดูแล้วค่อนข้างอันตรายไม่น้อยกว่ายาลูกกลอนสมัยก่อนที่ผสมสเตียรอยด์เพราะคราวนี้ มาในรูปยาเม็ดทันสมัยแล้วแนะนำต่อ ๆ กันว่าเป็นยาจีน
(ซึ่งคนส่วนใหญ่เข้าใจว่าคือ ยาแผนโบราณซึ่งไม่มีผลข้างเคียงจากยาเหมือนยาแผนปัจจุบัน
จึงกินคราวละมาก ๆ ได้)แต่ที่แท้ก็คือยาแก้ปวดกลุ่มNSAIDSนั่นเอง(ซึ่งกัดกระเพาะ ทำให้มีเลือดออกในกระเพาะ เป็นแผลในกระเพาะ ถ่ายอุจจาระดำ)
ดังนั้น ก่อนทานยาทุกครั้ง ควรอ่านฉลากให้ดีก่อน หรือสอบถามผู้รู้ เช่นเภสัชกรในร้านยาก็ได้
เขายินดีแนะนำทุกท่านค่ะ