Thursday, October 31, 2013

วิธีช่วยคนที่มีสิ่งแปลกปลอมติดคอ

ขอบคุณเฟซบุ๊กของ
คลินิกแพทย์วีระพันธ์ โรคสมองและระบบประสาท

เล่าเรื่อง "สิ่งแปลกปลอมติดคอ"
 เมื่อประมาณสองเดือนก่อน ผมกำลังออกไปตรวจคนไข้หน้าคลินิก มีผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งมาด้วยท่าทางที่ร้อนลนสวนเข้าไปในคลินิก พร้อมกับตะโกนว่า "ช่วยด้วย ๆ มีคนโดนเศษกระดูกติดคอ" ผมวิ่งไปที่จุดเกิดเหตุทันที พบกับชายคนหนึ่งนอนดิ้นไปดิ้นมา พูดไม่ได้ เอามือจับคอตัวเองอยู่ ในวันนั้นผมใช้ท่า Heimlich maneuver ช่วยชีวิตคนไข้รายนี้ไว้ได้ทันเวลาครับ ผมคิดว่าหากวันนั้นคนไข้รายนี้ไปมีเศษอาหารติดคออยู่ที่อื่นป่านนี้เค้าคงตายไปแล้วเพราะน้อยคนนักที่จะรู้วิธีช่วยชีวิตคนอื่นด้วยท่านี้ 

ตอนสมัยเรียนแพทย์อยู่ผมไม่เคยคิดเลยครับว่าชีวิตการเป็นแพทย์ของผมจะได้ใช้ท่านี้ในการช่วยคนไข้ เพราะมีโอกาสน้อยมากที่จะมีคนเศษอาหารติดคอมาอยู่ต่อหน้า และเราต้องช่วยเค้าให้ทันภายใน 4 นาที ไม่อย่างนั้นคนไข้มีหวังตายแน่ครับ วันนี้ผมถือโอกาสสอนวิธีช่วยคนที่เกิดเศษอาหารติดคอให้ท่านที่อ่าน page ผมรู้ไว้นะครับ เผื่อท่านไปเจอใครที่มีเศษอาหารหรือสิ่งแปลกปลอมติดคออยู่ใกล้ ๆ จะได้ช่วยพวกเค้าได้ทันท่วงที รู้หลาย ๆ คนดีกว่าหมอรู้คนเดียวครับ ท่าที่เราใช้ช่วยชีวิตคนที่มีเศษอาหารติดคอเรียกว่า Heimlich maneuver (เฮมลิก แมนูเวอร์) 8 ขั้นตอน
1. ตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ 
2. ต้องแน่ใจก่อนว่าคนที่เรากำลังจะเข้าไปช่วย โดนเศษอาหารหรือสิ่งแปลกปลอมติดคอจริง 
3. แสดงตัวให้เค้ารู้ทันทีว่าเราเป็นคนเข้าไปช่วยเหลือ 
4. จับผู้ป่วยยืนขึ้น 
5. เข้าไปยืนที่หลังของผู้ป่วย 
6. กอดผู้ป่วยจากด้านหลัง
7. โอบลำตัวผู้ป่วย กำมือข้างที่ถนัดไว้ที่บริเวณท้องส่วนบนใต้ซี่โครงโดยเอานิ้วโป้งไว้ด้านใน มืออีกข้างโอบมาจับกำปั้นเพื่อชวยพยุง 
8. กระตุกกำปั้นเข้าหาตัว ในทิศทางเฉียงขึ้นเล็กน้อยเหมือนพยายามจะยกผู้ป่วยให้ลอยขึ้น ชุดละ 5 ครั้งแรง ๆ เร็ว ๆ หากยังไม่หลุดซ้ำได้อีกครับ ทำซ้ำเรื่อย ๆ จนสิ่งแปลกปลอมหลุดออกมา ถ้าไม่หลุดจนผู้ป่วยหมดสติจำเป็นต้องรู้วิธี CPR ต่อครับ เอาไว้ค่อยเล่าให้ฟัง ช่วย ๆ กันจำ ช่วย ๆ กันแชร์นะครับ ท่านไม่รู้ตัวหรอกว่าวันหนึ่งอาจจะได้ใช้ท่านี้ในการช่วยชีวิตคนในวันใดวันหนึ่งข้างหน้าก็ได้นะครับ ^^ นอนหลับฝันดีครับ ภาพจาก wikihow.com

Saturday, October 19, 2013

ร้านยาในต่างประเทศ

สหรัฐอเมริกา มีจำนวน 40 รัฐที่แพทย์สามารถตรวจและจ่ายยาเองได้ แต่เป็นไปตามมาตรฐานทางเภสัชกรรม (good pharmacy practice) คือ ต้องให้รายละเอียดเกี่ยวกับยาแก่ผู้ป่วย และต้องทำประวัติการใช้ยา (patient medication record) ด้วย สิ่งที่สำคัญในสหรัฐอเมริกา คือ หากมีการฟ้องร้องแพทย์ แพทย์จะต้องรับผิดชอบทั้ง 2 กรณี คือ จรรยาบรรณแพทย์ และมาตรฐานในการจ่ายยา หากผิดจริงจะต้องรับผิดชอบค่าเสียหายที่สูงมาก และอาจไม่ได้รับการชดเชยจากระบบประกันสุขภาพต่าง ๆ แพทย์ส่วนใหญ่จึงเป็นระบบใบสั่งยาที่แพทย์ทำการรักษาอย่างเดียว และเขียนใบสั่งยาไปยังร้านขายยา

ที่มา: คทา บัณฑิตานุกูล. การผลักดันระบบใบสั่งยา ข้อศึกษาจากหน้าต่างโลก. วงการยา. มกราคม 2547 หน้า 24-25

จาก เฟซบุ๊กของ กพย.

Tuesday, October 15, 2013

ไซลาซีน (เป็นยาใช้รักษาสัตว์เอามาใช้มอมยาคน)

อย.ยกระดับ "ไซลาซีน" ป้องกันมิจฉาชีพใช้มอมปลดทรัพย์ ต้องมีใบอนุญาตสัตวแพทย์เท่านั้นถึงซื้อได้ 

เมื่อวันที่ 15 ต.ค. ผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" รายงานว่า ที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) ในการประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาการขึ้นทะเบียนตำรับยาแผนปัจจุบันสำหรับสัตว์ ครั้งที่ 2/2556 ซึ่งประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิจากหลายหน่วยงาน ทั้งสัตวแพทยสภา กรมปศุสัตว์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์  เพื่อหามาตรการป้องกันการนำสารไซลาซีน ไปใช้ในทางที่ผิดนั้น นพ.ปฐม สวรรค์ปัญญาเลิศ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวภายหลังการประชุม ว่า ที่ประชุม มีมติเสนอให้เพิ่มมาตรการควบคุมยาสำหรับสัตวที่นำไปใช้ในทางที่ผิด 4 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มแอลฟา ทู แอดดริเนอจิก อโกนิสต์ (Alpha-2-adrenergic agonist) ซึ่งสารไซลาซีนอยู่ในกลุ่มนี้  2.กลุ่มเบนโซไดอาซีพีน เดริเวทีฟ (Benzodiazepine derivative)  3.กลุ่มบิวไทโรฟีโนน เดริเวทีฟ (Butyrophenone)  และ 4.กลุ่มฟีโนไทอาซีน เดริเวทีฟ (Phenothiazine derivative) โดยให้ยกระดับยาทั้ง 4 กลุ่มจากยาอันตราย คือ ยาที่สามารถซื้อได้ตามร้านขายยา เพียงแค่มีเภสัชกรเป็นผู้จำหน่าย ให้เป็นยาควบคุมพิเศษคือ ยาที่ต้องมีใบสั่งจากสัตวแพทย์เท่านั้นจึงจะซื้อได้

นพ.ปฐม กล่าวอีกว่า ที่ประชุมยังเสนอให้กำหนดข้อความในฉลากและเอกสารกำกับยา ดังนี้ "ขายยาตามใบสั่งผู้ประกอบการบำบัดโรคสัตว์ชั้นหนึ่งเท่านั้น และใช้ภายใต้การกำหับดูแลโดยผู้ประกอบการบำบัดโรคสัตว์ชั้นหนึ่งเท่านั้น" และให้ผู้ผลิต ผู้นำเข้า และผู้จำหน่าย จัดทำบัญชีและเก็บรายงานไว้ที่สถานประกอบการผลิต นำเข้า และจำหน่าย ไม่น้อยกว่าวันหมดอายุของรุ่นการผลิตของยานั้น เพื่อให้ อย.ตรวจสอบ ทั้งนี้ มติคณะอนุกรรมการฯ ชุดนี้จะเสนอให้คณะกรรมการยาพิจารณา ภายในสิ้นเดือน ต.ค.นี้ หากเห็นชอบก็จะประกาศบังคับใช้ต่อไป อย่างไรก็ตาม ระหว่างนี้ อย.จะเข้าไปตรวจสอบผู้ผลิต ผู้นำเข้า และผู้จำหน่าย ว่ามีการใช้ผิดปกติหรือไม่ แต่คงไม่สามารถเข้าไประงับการจำหน่ายของผู้ประกอบการได้ เพราะไม่มีอำนาจทางกฎหมาย แต่จะส่งหนังสือเวียนเพื่อขอความร่วมมือว่า ให้ใช้ความระมัดระวังในการจำหน่ายมากขึ้น และต้องจำหน่ายต่อเมื่อมีใบสั่งจากสัตวแพทย์เท่านั้น

นพ.ปฐม กล่าวว่า เมื่อยกระดับเป็นยาควบคุมพิเศษแล้ว โทษจะมีสองกรณีคือ 1.ผู้รับอนุญาต คือเจ้าของร้านขายยา หรือสถานพยาบาลสัตว์ หากไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบจะมีโทษปรับตามมาตรา 105 ของ พ.ร.บ.ยา พ.ศ.2510 คือ 2,000 - 10,000 บาท  และ 2.ผู้มีหน้าที่ปฏิบัติการหรือเภสัชกร และสัตว์แพทย์ หากมีการจำหน่ายยาที่ไม่มีใบสั่งจะมีโทษปรับ 1,000 - 5,000 บาท ซึ่งมีโทษเท่ากันกับกรณีที่เป็นยาอันตราย แต่เมื่อมีการควบคุมพิเศษจะมีการเพิ่มมาตรการโดยการสั่งซื้อต้องมีใบสั่งจากสัตวแพทย์แทน ทั้งนี้ สาเหตุที่ อย.อนุญาตให้มีการขายยาสำหรับสัตว์ในร้านขายยาสำหรับคนนั้น เหตุเพราะยาสำหรับสัตว์มีน้อยมาก จึงต้องอนุโลมอนุญาตให้ขาย โดยร้านขายยาที่ขายได้มี 2 ประเภทคือ ขย. 1 หรือร้านขายยาทั่วไป โดยในพื้นที่ กทม. มี 4,443 แห่ง ภูมิภาคมี 7,680 แห่ง  และ ขย.3 หรือร้านขายยาสำหรับสัตว์ โดยในพื้นที่ กทม. มี 87 แห่ง และภูมิภาค 658 แห่ง


ด้าน รศ.น.สพ.สุวิชัย โรจนเสถียริ นายกสัตวแพทยสภา กล่าวว่า ยาทั้ง 4 กลุ่มเป็นยาสำหรับสัตว์ที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง หากนำมาใช้ในทางที่ผิดกับคนแบบเกินขนาดอาจทำให้เสียชีวิตได้ อย่างไรก็ตาม ยาเหล่านี้ยังจำเป็นต้องใช้ในการรักษาสัตว์ จึงต้องมีการควบคุมและดูแลการใช้ยาเหล่านี้ให้เข้มงวดมากขึ้น จึงยกระดับจากยาอันตรายเป็นยาควบคุมพิเศษ   ทั้งนี้ ในกรณีที่สัตวแพทย์ออกใบสั่งให้กับผู้ที่ไปซื้อยากลุ่มดังกล่าว แต่พบภายหลังว่านำไปใช้ในทางที่ผิดจนเกิดปัญหา ก็ถือว่ามีความผิดด้วย โดยจะมีคณะกรรมการจรรยาบรรณของสัตวแพทยสภา พิจารณาความรุนแรงของโทษ โดยความรุนแรงที่สุดคือเพิกถอนใบอนุญาตสัตวแพทย์ ทั้งนี้ ยังไม่รวมกรณีโทษทางแพ่งและทางอาญา ซึ่งต้องว่ากันไปตามกระบวนการกฎหมาย
อ่านเพิ่มเติมได้ที่http://pharmacy-muay.blogspot.com/2013/10/xylazine.html

Thursday, October 10, 2013

ยาลดไข้เด็ก paracetamol และ ibuprofen

แนวทางการลดไข้ในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ

20 กุมภาพันธ์ 2012 เวลา 23:59 น.
นพ.พิสนธิ์ จงตระกูล พบ. วุฒิบัตรกุมารเวชศาสตร์
อนุกรรมการส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุผล
ภายใต้กรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ

          National Institute for Health and Clinical Excellence (NICE) เป็นหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งทำหน้าที่สนับสนุนการจัดทำแนวทางเวชปฏิบัติ (clinical guideline) ภายใต้ความร่วมมือขององค์กรวิชาชีพทางสาธารณสุขต่างๆ ของสหราชอาณาจักร เพื่อใช้เป็นมาตรฐานการปฏิบัติงานของสถานพยาบาลในระบบสาธารณสุขแห่งชาติ (national health service) ของสหราชอาณาจักร

          แนวทางเวชปฏิบัติที่จัดทำขึ้นโดย NICE จัดทำขึ้นด้วยมาตรฐานทางวิชาการอันเป็นที่ยอมรับ คำแนะนำจาก NICE จึงเป็นคำแนะนำที่มีคุณค่าและควรให้ความสนใจ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับเวชปฏิบัติในบริบทของสังคมไทย

          ในเดือนพฤษภาคม 2550 NICE ได้ออกแนวทางเวชปฏิบัติในการประเมินและการดูแลเบื้องต้นสำหรับภาวะการมีไข้ของเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ ซึ่งมีใจความดังนี้

1. ไม่แนะนำให้เช็ดตัวเด็กเพื่อลดไข้ (tepid sponge) เหตุผลที่ NICE ใช้ประกอบคำแนะนำคือ การมีไข้เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของสารเช่น prostaglandin ในสมองส่วน hypothalamus ซึ่งส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงของ temperature set-point ในสมอง 

ดังนั้นการให้ยา paracetamol หรือ ibuprofen ซึ่งออกฤทธิ์ขัดขวางการสร้าง prostaglandin จึงมีฤทธิ์เป็นยาลดไข้ 

แต่การเช็ดตัวช่วยให้เกิดความเย็นในส่วนของร่างกายที่สัมผัสกับน้ำแต่ไม่มีผลต่อการการลดระดับลงของ prostaglandin ดังนั้นอุณหภูมิของร่างกายโดยรวมจึงไม่ลดลง 

นอกจากนี้ในขณะที่สมองส่วน hypothalamus ยังคงตั้งระดับอุณหภูมิร่างกายไว้ที่ระดับสูง การเช็ดตัวอาจทำให้เกิดอาการสั่นสะท้าน (shivering) หรือหนาวสะท้าน (rigor) ซึ่งเป็นกลไกของร่างกายที่พยายามปรับอุณหภูมิร่างกายไปยังระดับอุณหภูมิที่สมองได้ตั้งไว้ ซึ่งจัดเป็นอาการไม่พึงประสงค์ประการหนึ่งจากการเช็ดตัวนอกเหนือจากการร้องไห้ของเด็กที่ถูกเช็ดตัว 

จากงานวิจัยที่เปรียบเทียบการเช็ดตัวกับการให้ยาลดไข้ไม่พบว่าการเช็ดตัวให้ประโยชน์เหนือกว่าการให้ยาลดไข้เพียงอย่างเดียว สำหรับการศึกษาที่พิจารณาการเช็ดตัวร่วมกับการให้ยาลดไข้ พบว่าการเช็ดตัวไม่ได้ให้ผลเพิ่มขึ้นในการลดไข้ หรือพบว่ามีผลช่วยลดไข้ได้เพิ่มขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ แต่อาจเพิ่มความไม่สบายตัวให้กับเด็ก 

นอกจากนี้การเช็ดตัวยังเป็นการสิ้นเปลืองเวลาโดยมีผลน้อยมากต่อการลดไข้ในระยะปานกลางและระยะยาว ซึ่งหากใช้น้ำที่เย็นเกินไป หรือเช็ดตัวในห้องปรับอากาศที่มีความเย็นจัดหรือมีการเป่าพัดลม และทำให้อุณหภูมิร่างกายลดลงอย่างรวดเร็วเกินไป อาจทำให้หลอดเลือดหดตัว (vasoconstriction) ส่งผลให้มีไข้สูงขึ้นและเพิ่ม metabolism ของร่างกาย คำแนะนำข้อนี้ครอบคลุมทั้งการปฏิบัติต่อผู้ป่วยที่สถานพยาบาล ตลอดจนการดูแลเบื้องต้นของผู้ปกครองของเด็กที่บ้านด้วย

2. ไม่ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่บางเกินไป (ในภาวะที่มีอากาศหนาวเย็น) หรือห่อหุ้มตัวเด็กจนมิดชิดขณะมีไข้

3. ควรให้ยาลดไข้แก่เด็กที่เป็นไข้เฉพาะเมื่อเด็กมีอาการไม่สบายตัวจากไข้ ไม่ควรให้ยาลดไข้แก่เด็กที่เป็นไข้ทุกคนเพียงเพราะเด็กมีไข้ หากเด็กยังดูเป็นปกติ (เช่นเล่นได้ ยิ้มได้ ไม่ได้นอนซม) ไม่จำเป็นต้องให้ยาลดไข้ อย่างไรก็ตามควรพิจารณาความเห็นและความปรารถนาของผู้ปกครองประกอบด้วย โดยอาจเลือกใช้ paracetamol หรือ ibuprofen เป็นยาลดไข้

หมายเหตุ ยาทั้งสองข้างต้นเป็นยาบัญชี ก. ตามบัญชียาหลักแห่งชาติ ไม่ควรใช้ยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ เช่น nimesulide เพื่อการลดไข้ในเด็ก (และผู้ใหญ่) เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการเกิดตับอักเสบซึ่งไม่คุ้มค่ากับประโยชน์ที่ได้รับ และอุณหภูมิที่จัดว่ามีไข้คือ 100° F หรือ 37.8° C จึงไม่ควรให้ยาลดไข้เพียงเพราะเด็กมีตัวอุ่นๆ เช่นวัดอุณหภูมิได้ 37.5° C

4. ไม่ควรให้ paracetamol และ ibuprofen พร้อมๆ กันเพื่อการลดไข้ในเด็ก หากจำเป็นอาจให้สลับเวลากันได้ในกรณีที่ใช้ยาขนานแรกแล้วไข้ยังไม่ลดลง ทั้งนี้ไม่ควรใช้ยาลดไข้สองขนานร่วมกันเป็นอาจิณ

5. ยาลดไข้ไม่ช่วยป้องกันการชักจากไข้ (febrile convulsion) ในเด็ก จึงไม่ควรใช้ยาลดไข้ด้วยความมุ่งหวังเพื่อป้องกันการชัก คำแนะนำนี้สรุปมาจากงานวิจัยหลายชิ้นซึ่งไม่สามารถแสดงให้เห็นว่ายาลดไข้มีประสิทธิผลในการป้องกันการชักจากไข้

          ข้อความข้างต้นเป็นใจความจาก NICE guideline ในความเห็นของผู้เขียน การเช็ดตัวเป็นสิ่งที่ถือปฏิบัติกันตลอดมาในประเทศไทย ทั้งบุคลากรสาธารณสุขและผู้ปกครองต่างมีความเชื่อว่าการเช็ดตัวช่วยลดไข้ได้ และทำให้เด็กสบายตัวขึ้น 

หากแต่หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ไม่สนับสนุนการกระทำดังกล่าว อย่างไรก็ตามไม่ถือว่าการเช็ดตัวเป็นข้อห้ามกระทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากการเช็ดตัวนั้นกระทำอย่างนุ่มนวล ถูกวิธี โดยไม่ทำให้เด็กกลัวหรือตกใจ และผู้ปฏิบัติไม่ถือว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการเสียเวลา และยินดีที่จะทำแม้ทราบว่าการกระทำดังกล่าวมีผลน้อยต่อการลดอุณหภูมิของเด็ก เช่นพ่อแม่ที่ต้องการเฝ้าดูลูกทั้งคืนและเช็ดตัวให้เป็นระยะๆ รวมทั้งการเช็ดตัว (อย่างนุ่มนวล) ที่ห้องฉุกเฉินแก่เด็กที่มีไข้แล้วชัก จนกว่าฤทธิ์ของยาลดไข้และยารักษาโรคจะบังเกิดขึ้น  ทั้งนี้ผู้ปฏิบัติควรรู้ข้อดีและข้อเสีย และพยายามหลีกเลี่ยงข้อเสียต่างๆ ของการกระทำดังกล่าว

          บุคลากรสาธารณสุขไม่ควรถือว่าการลดไข้เป็นสิ่งสำคัญสูงสุดในการดูแลผู้ป่วย และพยายามลดไข้ด้วยวิถีทางต่างๆ ที่ไม่สมเหตุผล เช่น
1.การฉีดยาลดไข้แก่เด็ก 
2.การให้ steroid เพื่อช่วยลดไข้ 
3.การใช้ยาปฏิชีวนะกับโรคที่ไม่มีหลักฐานบ่งชี้ว่าเป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเป็นการใช้ยาปฏิชีวนะ (ทั้งชนิดกินและชนิดฉีด) เสมือนหนึ่งเป็นยาลดไข้

          ข้อควรปฏิบัติสำหรับบุคลากรสาธารณสุขคือการหาสาเหตุของไข้ด้วยความตั้งใจ โดยซักประวัติจากผู้ปกครองโดยละเอียด การตรวจร่างกายโดยละเอียด และการส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการที่จำเป็น การรักษาที่ต้นเหตุของไข้เท่านั้นที่เป็นแนวทางเวชปฏิบัติที่เป็นประโยชน์อย่างแท้จริงแก่ผู้ป่วย

เอกสารอ้างอิง
National Institute for Health and Clinical Excellence Clinical Guideline. Feverish illness in children, assessment and initial management in children younger than 5 years. May 2007.
http://pathways.nice.org.uk/pathways/feverish-illness-in-children#content=view-node%3Anodes-antipyretic-interventions
สรุป เมื่อหาสาเหตุของไข้ได้แล้ว หากจะใช้ยาเพื่อการลดไข้ จะมี 2 ชนิด 
คือ 1. paracetamol ขนาดยาในเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี คือ10-15 mg/Kg/ครั้ง ทุก 4-6 ชั่วโมง(ในคนเป็น G6PD ควรใช้ขนาดยาต่ำ  ๆ)
      2. Ibuprofen ขนาดยาในเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี คือ 5 mg/ Kg/ครั้ง ทุก 8 ชั่วโมง (ใช้เฉพาะไข้สูงมาก ๆ ใช้สลับกับ paracetamol ได้ แต่ไม่ควรใช้พร้อมกัน และห้ามใช้นี้ในโรคไข้เลือดออก)

ส่วนยาลดไข้ชนิดยาฉีด ไม่ควรใช้เพราะออกฤทธิ์สั้น และจะกลับมีไข้ได้ใหม่

ยาใหม่ที่เป็นยาลดไข้แบบเหน็บทวารหนัก ชื่อ Poro rectal suppo มีตัวยา คือ paracetamol ไม่ได้ช่วยให้ไข้หายเร็วขึ้นเมื่อเทียบกับยากิน ใช้กับผู้ที่กินยาไม่ได้ และยามีขนาดที่แน่นอนตายตัว ทำให้ปรับขนาดยาไม่ได้

ข้อมูลของยาเหน็บ จาก The electronic Medicines Compendium (eMC) contains information about UK licensed medicines.
Paracetamol is well absorbed by both oral and rectal routes. Peak plasma co
ncentrations occur about 2 to 3 hours after rectal administration. The plasma half life is about 2 hours. (Onset of action: Oral:น้อยกว่า 1 ชั่วโมง)
Each suppository contains Paracetamol 60, 125 or 250 mg. 
Paracetamol suppositories may be especially useful in patients unable to take oral forms of paracetamol, e.g. post-operatively or with nausea and vomiting.


Saturday, October 5, 2013

ยาล้างไต ยาขับปัสสาวะ ยาโรคไต?

หลายปีก่อนตอนจบใหม่ ๆ เคยได้ยินเรื่องยาล้างไตมาบ้าง ซึ่งยานี้
เป็นยาที่ใช้กันแพร่หลายในอดีต แต่มีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ ในปัจจุบัน 

ยาล้างไตเป็นยาที่คนส่วนใหญ่เข้าใจกันว่า ทำให้ปัสสาวะมีสีเปลี่ยนเป็นสีแดงบ้าง เขียวบ้าง น้ำเงินบ้าง ที่จริงแล้วเกิดจาก ยา 2 ชนิดนี้ คือ


1.  ยาไพรีเดียม (Pyridium หรือชื่อทางเคมีว่าPhenazopyridine) มีฤทธิ์ในการเปลี่ยนสีของปัสสาวะ เมื่อผสมกับสีเหลืองของปัสสาวะ ก็จะเกิดเป็นสีส้มแดง
สรรพคุณ  เป็นยาลดอาการปวดแสบ และอาการปัสสาวะบ่อย
ขนาดที่ใช้ 200 มิลิกรัมวันละ 3 ครั้ง ไม่เกิน 2 วัน
ข้อเสียหรืออาการข้างเคียง (side effect)  คือ คลื่นไส้ อาเจียน ผื่นคัน และห้ามใช้ในคนเป็นโรคไต

2. ยาเมไทลีนบลู (Methylene blueมีชื่อทางเคมีว่า Methylthioninium chloride)เป็นสารเคมีที่ผลิตเป็นยา ยานี้จะเปลี่ยนสีของปัสสาวะ เมื่อผสมกับสีเหลืองของปัสสาวะ จะกลายเป็นสีเขียวหรือสีน้ำเงินได้
สรรพคุณ ใช้รักษาmethemoglobinemia (เม็ดเลือดผิดปกติชนิดหนึ่ง) และมีฤทธิ์ทำลายเชื้อแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะอย่างอ่อน มีในรูปแบบยากินและยาฉีด สามารถทำให้เกิดสีในอวัยวะภายในร่างกาย ใช้ประโยชน์ในการผ่าตัด ทำให้มองเห็นอวัยวะที่จะผ่าตัด รวมทั้งใช้ในการทำเอ๊กซเรย์ด้วย 
ข้อเสีย คือ ห้ามใช้ร่วมกับยาอื่น ๆ เช่น ยาต้านโรคซึมเศร้า ฯลฯ ห้ามใช้ในคนเป็นโรคไต , เป็น G6PD คนที่มีความผิดปกติของเม็ดเลือด

ยาเมไทลีนบลูได้ถูกนำมาผสมกับสมุนไพรในตำรับยาเม็ดที่แจ้งสรรพคุณว่าเป็นยาโรคไต ดังเช่นตัวอย่างยาต่อไปนี้






ยาล้างไตจากบริษัทที่ 1  มีส่วนประกอบ คือ 
EXTRACTUM UVAC URSI   15 MG.
SQUILL                                     15 MG.
EXT.OF BUCHU                      15 MG.
CAPSICUM                               15 MG.
POTASSIUM NITRATE           60 MG.
JUNIPER OIL                        0.0075 ML.
METHYL THIONIN                   20 MG.

ยาล้างไตจากบริษัทที่ 2  มีส่วนประกอบ คือ
METHYLENE BLUE   15 MG.
POTASSIUM NITRATE   60 MG
UVA URSI FLUIDEXTRACT   17 MG.
CAPSICUM   17 MG.
FLUID EXTRACT OF BUCHU   17 MG.
SQUILL   17 MG.

ยาทั้งสองตำรับจากสองแห่ง ใส่ methylene blue (= methyl thionin) เหมือนกัน และมีส่วนประกอบที่เป็นสมุนไพร คล้าย ๆ กัน ดังนี้
      1. uva ursi                บรรเทาอาการปวดปัสสาวะได้
      2. squill                    ช่วยลดอาการบวมน้ำ บำรุงหัวใจ แก้ไอได้
      3. ext. of Buchu       ฆ่าเชื้อในทางเดินปัสสาวะ และทำให้ปัสสาวะไหลคล่อง (promote urine flow)    
      4. capsicum             สารสกัดจากพริก ช่วยย่อยอาหาร มีฤทธิ์ฆ่าเชื้ออย่างอ่อน
      5. juniper oil             มีสรรพคุณหลายอย่าง และมีฤทธิ์ฆ่าเชื้ออย่างอ่อน
      6. potassium nitrate เป็นสารกันบูด (preservative)

จะเห็นได้ว่ายาล้างไตของสองสูตรนี้มีส่วนประกอบเป็นสมุนไพร ที่มีฤทธิ์กำจัดเชื้อแบคทีเรียอย่างอ่อน  ยกเว้นยmethylene blue ที่เป็นสารเคมีที่ผลิตขึ้นเป็นยา  จึงต้องระวังการแพ้ยาหรืออาการข้างเคียงจากการใช้ยา และมีข้อห้ามใช้ในคนเป็นโรคไต, โรค G6PD, คนที่มีความผิดปกติทางเลือด ก็ไม่ควรใช้ยานี้

สรุป ยาที่คนเข้าใจว่าเป็นยาล้างไตที่ทำให้เกิดสีในปัสสาวะ คือ 

 1.ยา pyridium (Phenazopyridine)
 2. methylene blueที่ผสมกับสมุนไพรในสูตรยาล้างไต
ยาทั้งสองตัวนี้ ไม่ได้ไปขับไล่เลือดเสียหรือเชื้อโรคออกจากร่างกายตามความเชื่อของบางคนที่สังเกตเห็นการเปลี่ยนสีของปัสสาวะ และยาทั้งสองนี้ก็ทำให้เกิดประโยชน์ในการรักษาโรคน้อยมาก ในปัจจุบันจึงไม่ค่อยนิยมใช้กันแล้ว

ดังนั้น ก่อนจะซื้อยาล้างไตหรือยาขับปัสสาวะไปทานทุกครั้ง ควรสังเกตอาการของตัวเองว่าเป็นอย่างไร เมื่อไปร้านยา ควรพบเภสัชกรเพื่อจะได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องในการใช้ยาให้ตรงกับอาการของโรค โรคจะได้หายเร็วขึ้น

Reference 1. http://www.avenabotanicals.com/uva-ursi-liquid-extract.html
2.http://www.webmd.com/vitamins-supplements/ingredientmono-180-BUCHU.aspx?activeIngredientId=180&activeIngredientName=BUCHU
3.http://www.webmd.com/vitamins-supplements/ingredientmono-945-CAPSICUM.aspx?activeIngredientId=945&activeIngredientName=CAPSICUM
4.http://en.wikipedia.org/wiki/Potassium_nitrate
5.http://www.drugs.com/mtm/methylene-blue-oral-and-injection.html
6. http://www.essentialoils.co.za/essential-oils/juniper-berry.htm
7. http://www.webmd.com/vitamins-supplements/ingredientmono-743-SQUILL.aspx?activeIngredientId=743&activeIngredientName=SQUILL
8. http://www.rxlist.com/pyridium-drug.htm



Friday, October 4, 2013

หลังคลอดจะคุมกำเนิดอย่างไร

***หลังคลอด : เมนส์จะมาเมื่อไหร่ จะคุมกำเนิดยังไงดีนะ?***

เป็นสิ่งที่หลายคนสงสัยและกังวลใจ
ว่าช่วงหลังคลอดใหม่ๆ จะต้องคุมกำเนิดมั้ย คุมยังไงดี จะมีผลกระทบอะไรรึเปล่า
ถ้าไม่คุม แต่เมนส์ก็ยังไม่มา แล้วจะรู้ได้ยังไง ว่าไข่ตกรึยัง ถ้าท้องจะอันตรายมั้ย?
มาลองดูกันทีละเรื่องนะคะ

#หลังคลอดมีเซ็กส์ได้เมื่อไหร่
แนะนำว่าให้เว้นอย่างน้อยๆก็ 2 สัปดาห์ค่ะ
หลังจากนั้นก็ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายแต่ละคน ถ้าไม่ปวดแผล
กายพร้อม ใจพร้อม คิดว่าโอเคก็ไม่ห้ามค่ะ

#การตกไข่และประจำเดือนในช่วงหลังคลอด
มีข้อมูลว่า คุณแม่หลังคลอดจะกลับมาตกไข่ได้(ก็คือท้องได้)
โดยเฉลี่ยแล้วจะเป็นช่วง 7 สัปดาห์หลังคลอดเป็นต้นไป
แต่บางคนก็อาจจะเร็วกว่านั้น คือตั้งแต่ 3 สัปดาห์
ถ้ามีเพศสัมพันธ์ในช่วงนี้โดยที่ไม่คุมกำเนิด บังเอิญไข่ตกพอดี ก็จะได้ท้องต่อเลย

คุณแม่ที่ให้นมลูกอยู่ โดยเฉพาะคนที่ให้แบบ exclusive breast feeding
คือให้นมแม่เท่านั้น ไม่มีการใช้นมผสมเลย จะมีผลของฮอร์โมนที่คุมการหลั่งนม
ช่วยยับยั้งการตกไข่ได้ หลายๆคนจึงไม่มีประจำเดือนไปอีกยาวเลยค่ะ
เราก็จะบอกได้ยาก ว่าไข่ตกเมืีอไหร่กันแน่
เนื่องจากผลตรงนี้ไม่ค่อยแน่นอน
จึงไม่ค่อยแนะนำให้ใช้วิธีนี้(การให้นมลูก)เป็นวิธีหลักในการคุมกำเนิดค่ะ


หลังคลอดจึงอาจเริ่มทานยาคุมกำเนิดชนิดที่ไม่มีผลต่อการให้นมลูก(ยาคุมบางชนิด

มีผลให้น้ำนมออกน้อย)ได้แก่ยาคุม ชนิดที่มีฮอร์โมนต่ำ ๆ  หรือยาคุมชนิดฮอร์โมน
ตัวเดียวมีแต่โปรเจสโตเจน อ่านเรื่องยาคุมเพิ่มเติมที่ลิงค์นี้
 http://pharmacy-muay.blogspot.com/2010/05/blog-post_10.html

สารพันเรื่องยาคุม

***ถาม-ตอบ เรื่อง"ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม"***

มีคนถามว่า วิธีคุมแบบไหนดีที่สุด 
คำตอบ: ไม่มีค่ะ ทุกวิธีมีข้อดีข้อเสีย การเลือกก็ต้องดูรายละเอียดของแต่ละคนเป็นรายๆไป
วันนี้จะมาพูดถึงแบบนี้กันก่อนนะ

รายละเอียดของการคุมกำเนิดวิธีอื่น ๆ  อ่านได้ตามลิงค์นี้ค่ะ

http://muay-drugstore.blogspot.com/2013/09/blog-post_26.html

====================
ยาเม็ดคุมกำเนิดฮอร์โมนรวม หรือ combined oral contraceptive pills (COCP)


ตัวยาจะประกอบด้วยอนุพันธ์ของฮอร์โมนสองชนิดคือ estrogen และ progesterone
ซึ่งเลียนแบบธรรมชาติ แต่จะไม่เหมือนซะทีเดียว ตัวยาจะช่วยยับยั้งการตกไข่
และทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกไม่เหมาะกับการฝังตัวกรณีที่เกิดการปฏิสนธิขึ้น

ข้อดี :
-ช่วยให้ประจำเดือนมาสม่ำเสมอ (โดยเป็นผลจากยา ไม่ใช่จากการตกไข่ตามธรรมชาติ)
-ลดอาการปวดและปริมาณประจำเดือนได้
-เมื่อหยุดยาสามารถตั้งครรภ์ได้ทันที
-ลดโอกาสเกิดมะเร็งรังไข่

ข้อเสีย :
-ต้องกินสม่ำเสมอ ในเวลาเดียวกันทุกวัน ถ้าลืมมีโอกาสพลาดท้องได้ง่าย
-อาจมีคลื่นไส้ในช่วงแรก
-ไม่เหมาะในผู้มีโรคหัวใจ โรคตับ โรคลิ่มเลือดอุดตัน สูบบุหรี่
-อาจเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งเต้านมเล็กน้อย หากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน

เหมาะกับใคร :
- คนที่ต้องการคุมกำเนิดระยะสั้น (ไม่กี่เดือน-สองสามปี)
- คนที่มีวินัยในการกินยา ไม่ขี้ลืม
- คนที่มีปัญหาประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ มามาก หรือปวดประจำเดือน
มีเนื้องอกมดลูก หรือเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ชอกโกแลตซีส
เพราะยาจะช่วยลดอาการ และทำให้ตัวโรคฝ่อลงได้

ราคา : หลากหลาย มีตั้งแต่ ไม่ถึงร้อย-400+ /เดือน
====================

คร่าวๆก็ประมาณนั้น มาดูคำถามที่ถามมากันดีกว่า

?21 กับ 28 เม็ดต่างกันยังไง
แบบ 21 เม็ดจะเป็นตัวยาทั้งหมด
แบบ 28 เม็ด จะเป็นตัวยาแค่ 21 ที่เหลือเป็นยาหลอก อาจจะมีวิตามินหรือธาตุเหล็กแทน
ถ้ากินแบบ 21 เม็ด ให้เว้น 7 วันก่อนเริ่มแผงใหม่ ประจำเดือนจะมาช่วง 7 วันนั้น
ถ้า 28 เม็ดก็กินต่อเนื่องไปเลย ประจำเดือนจะมาช่วงที่กินเม็ดยาหลอก

?ยาคุมมีกี่เกรด ทำไมมีหลายราคา แบบไหนกินแล้วไม่อ้วน
ยาทุกยี่ห้อทุกราคาเหมือนกันที่ฤทธิ์คุมกำเนิด
แต่ตัวที่ทำให้ราคาต่างคือผลข้างเคียงที่ต่างกัน ซึ่งเป้นผลจากการใช้ฮอร์โมนกลุ่มโปรเจสเตอโรนคนละชนิด
ชนิดที่ผลข้างเคียงเยอะ เช่น หน้ามัน สิวขึ้น บวมน้ำ ราคาจะถูกกว่า
แบบใหม่ๆที่ใช้แล้วหน้าไม่มัน สิวลด ไม่บวมน้ำ ก็จะแพงกว่า
ขนาดของเอสโตรเจนในยา ก็จะมีผลต่ออาการคลื่นไส้ เวียนหัว คัดหน้าอก และฝ้าค่ะ
ยิ่งต่ำอาการจะน้อย แต่โอกาสท้องถ้าลืมกินยาก็จะสูงกว่า
จะเลือกยี่ห้อไหน ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรใกล้บ้านท่านนะคะ

? กินแล้วคลื่นไส้ เวียนหัว
อาการคลื่นไส้อาเจียนมักจะเป็นแค่ช่วงแรกๆ
หลังใข้ไปสักพักจะดีขึ้น ให้อดทนไปก่อน แต่ถ้าเป็นไม่หาย ให้ลองปรึกษาหมอค่ะ

ที่ร้านยา เคยเจอลูกค้าทานยาแล้ว 
 (ทานยาคุมยี่ห้อที่มีฮอร์โมนต่ำสุด) มีอาการ

มึนหัวมาก และ บอกว่ามีอาการหมดสมรรถภาพทางเพศ คือ ไม่รู้สึกมีอารมณ์ร่วมกับแฟนจนแฟนถามว่า เป็นอะไร กรณีอย่างนี้คงต้องใช้การคุมกำเนิดวิธีอื่น

?ยาคุมสำหรับคนเพิ่งคลอด ให้นมลูก
ใช้แบบที่มีแต่โปรเจสเตอโรนจะเหมาะกว่า (คนละกลุ่มกัน) อ่านตามลิงค์นี้ได้ค่ะ

http://muay-drugstore.blogspot.com/2013/10/blog-post_2953.html

?ยาคุมกับสิว และฝ้า
การใช้ยาที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง จะทำให้เกิดฝ้าได้ คล้ายเวลาตั้งครรภ์
ส่วนสิว ก็ขึ้นกับชนิดโปรเจสเตอโรคตามที่ตอบข้างบนค่ะ
อันนี้ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเพิ่มเติมได้ ขอไม่ระบุชื่อยานะคะ

?ยาคุมกับโรคประจำตัว โรคตับ ไทรอยด์
เนื่องจากยาต้องถูกทำลายที่ตับ จึงไม่ควรใช้ในคนที่มีการทำงานของตับผิดปกติ (เช่นมีโรคตับแข็ง ตับอักเสบเรื้อรัง) แต่ถ้าเป็นพาหะไวรัสตับอักเสบ โดยที่การทำงานของตับยังปกติ ก็สามารถใช้ได้อย่างปลอดภัยค่ะ

โรคไทรอยด์ไม่เป็นข้อห้ามในการใช้ยาค่ะ (พอดีมีคนถาม)
อย่างไรก็ตามในคนที่มีโรคประจำตัว ยาคุมอาจมีปฏิกิริยากับยาอื่นๆที่ทานได้
จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนซื้อยาอะไรกินเองเสมอค่ะ

?กินยังไง
ควรเริ่มกินในห้าวันแรกที่มีประจำเดือน กินเวลาเดิมสม่ำเสมอทุกๆวัน

?ถ้าลืมกินทำยังไง
คำแนะนำตรงนี้จะหลากหลายและค่อนข้างซับซ้อน แบบเงื่อนไขเยอะ
หมอแนะนำง่ายๆเลยนะคะ ถ้าลืมเม็ดเดียว กินทันทีที่นึกได้ และกินเม็ดต่อไปตามปกติ
(เช่น ปกติกินตอนสองทุ่ม ถ้าลืมกินวันจนทร์ มานึกได้วันอังคาร ให้กินทันที แล้วสองทุ่มวันอังคารก็กินต่อตามปกติค่ะ)
**ถ้าลืมมากกว่านั้น(2เม็ดขึ้นไป) ถือว่ามีโอกาสท้องได้ เพราะไข่อาจจะตกไปแล้ว
แนะนำให้คุมวิธีอื่น(เช่นถุงยาง) ไปด้วย กินยาต่อไปก็ได้ แต่รอเมนส์มาแล้วค่อยเริ่มแผงใหม่
ถ้าเมนส์ไม่มา ให้รีบตรวจการตั้งครรภ์ค่ะ

หรือถ้าคิดว่าไม่เหมาะกับยาคุม เพราะขี้ลืม ก็ไปปรึกษาหมอหาวิธีอื่นคุมดีกว่านะ
ถ้ากินไม่สม่ำเสมอ กินๆลืมๆ จะมีผลให้เลือดออกกะปริดกะปรอย และท้องไม่รู้ตัวค่ะ

ถ้ากินเพื่อหวังผลอื่นที่ไม่ใช่การคุมกำเนิด (เช่น กินเพื่อควบคุมรอบประจำเดือน ปวดประจำเดือน โดยที่ไม่มีเพศสัมพันธ์) อาจจะไม่ต้องซีเรียสมากเรื่องเวลา หรือเรื่องลืมกินค่ะ

?ถ้าท้องแล้วกินยาไปจะอันตรายมั้ย
ยาที่กินเป็นฮอร์โมนใกล้เคียงธรรมชาติ ไม่มีผลให้แท้ง และไม่พิ่มความพิการในเด็ก

?ช่วงที่เว้น 7 วันหรือกินยาหลอกจะต้องคุมวิธีอื่นไหม
ไม่จำเป็นถ้ากินยาสม่ำเสมอดีมาตลอด เพราะผลของยาจะยับยังการตกไข่ในรอบนั้นไปแล้วค่ะ

?ยาคุมกับมะเร็ง
มีข้อมุลว่าการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดติดต่อกันเป็นเวลานานๆ (อย่างน้อย 5 ปีติดต่อกัน)
จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านม *นิดหน่อย*
แต่ก็จะช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งรังไข่ได้ชัดเจนค่ะ
นอกจากนี้ในคนที่มีปัญหาไข่ไม่ตกเรื้อรัง หรือโรค PCOS
ยาคุมจะช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งโพรงมดลูกด้วย

ดังนั้นถ้าคิดว่ากินแล้วโอเคก็กินไปค่ะ
ไม่ต้องกังวลกับมะเร็งเต้านมมากจนเกินไป ยกเว้นในคนที่เคยเป็นมะเร็งเต้านมมาก่อน
หรือมีญาติใกล้ชิดเป็น อาจจะต้องระวัง
และคนที่กินนานๆก็ควรฝึกตรวจเต้านมด้วยตนเอง
ถ้าอายุเกิน 40 ปี ก็ควรตรวจแมมโมแกรมทุกปีนะค
อ่านเรื่องมะเร็งเต้านมเพิ่ม>>https://www.facebook.com/photo.php?fbid=187235154788610&set=a.154912061354253.1073741883.138161163029343&type=3&src=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-ash3%2F1170841_187235154788610_1173682247_n.jpg&size=328%2C275


***หลังคลอด : เมนส์จะมาเมื่อไหร่ จะคุมกำเนิดยังไงดีนะ?***


เป็นสิ่งที่หลายคนสงสัยและกังวลใจ
ว่าช่วงหลังคลอดใหม่ๆ จะต้องคุมกำเนิดมั้ย คุมยังไงดี จะมีผลกระทบอะไรรึเปล่า
ถ้าไม่คุม แต่เมนส์ก็ยังไม่มา แล้วจะรู้ได้ยังไง ว่าไข่ตกรึยัง ถ้าท้องจะอันตรายมั้ย?
มาลองดูกันทีละเรื่องนะคะ

#หลังคลอดมีเซ็กส์ได้เมื่อไหร่
แนะนำว่าให้เว้นอย่างน้อยๆก็ 2 สัปดาห์ค่ะ
หลังจากนั้นก็ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายแต่ละคน ถ้าไม่ปวดแผล
กายพร้อม ใจพร้อม คิดว่าโอเคก็ไม่ห้ามค่ะ

#การตกไข่และประจำเดือนในช่วงหลังคลอด
มีข้อมูลว่า คุณแม่หลังคลอดจะกลับมาตกไข่ได้(ก็คือท้องได้)
โดยเฉลี่ยแล้วจะเป็นช่วง 7 สัปดาห์หลังคลอดเป็นต้นไป
แต่บางคนก็อาจจะเร็วกว่านั้น คือตั้งแต่ 3 สัปดาห์
ถ้ามีเพศสัมพันธ์ในช่วงนี้โดยที่ไม่คุมกำเนิด บังเอิญไข่ตกพอดี ก็จะได้ท้องต่อเลย

คุณแม่ที่ให้นมลูกอยู่ โดยเฉพาะคนที่ให้แบบ exclusive breast feeding
คือให้นมแม่เท่านั้น ไม่มีการใช้นมผสมเลย จะมีผลของฮอร์โมนที่คุมการหลั่งนม
ช่วยยับยั้งการตกไข่ได้ หลายๆคนจึงไม่มีประจำเดือนไปอีกยาววเลยค่ะ
เราก็จะบอกได้ยาก ว่าไข่ตกเมืีอไหร่กันแน่
เนื่องจากผลตรงนี้ไม่ค่อยแน่นอน
จึงไม่ค่อยแนะนำให้ใช้วิธีนี้(การให้นมลูก)เป็นวิธีหลักในการคุมกำเนิดค่ะ

ประจำเดือนกับไข่ตกเกี่ยวกันยังไงดูตามนี้นะคะ
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=189375327907926&set=a.189585081220284.1073741933.138161163029343&type=3&src=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-ash3%2F1119983_189375327907926_1381732711_o.jpg&smallsrc=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-ash4%2F1002189_189375327907926_1381732711_n.jpg&size=1112%2C834

#ทำไมถึงไม่ควรท้องติดๆกัน
คิดง่ายๆก่อนเลย >> เหนื่อยไปมั้ยคะ?! ให้ร่างกายพักบ้างอะไรบ้าง เลี้ยงลูกที่เพิ่งคลอดก็แทบแย่แล้วเนอะ
แต่บางคนบอก ไหนๆก็เหนื่อย รวดเดียวไปเลยดีกว่า
ก็จะบอกตามข้อมูลค่ะว่า ท้องติดๆกันเกินไป มีข้อเสียยังไง
1) เพิ่มโอกาสคลอดก่อนกำหนดในท้องต่อมา
2) ในคุณแม่ที่ผ่าคลอด จะเพิ่มโอกาสมดลูกแตกในท้องต่อมาด้วย
(ทำไมถึงจะแตก อ่านตามนี้ค่ะ https://www.facebook.com/photo.php?fbid=151082911737168&set=a.150673491778110.1073741863.138161163029343&type=3&src=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-prn1%2F562500_151082911737168_1217499566_n.jpg&size=400%2C320)
จึงมีความสำคัญที่จะต้องเว้นระยะค่ะ โดยความเสี่ยงของทั้งสองภาวะนี้จะเพิ่มขึ้นชัดเจน
ถ้าการตั้งครรภ์ใหม่ห่างจากครรภ์ก่อนหน้าน้อยกว่า 18 เดือน

**สรุปคือให้ลูกอายุได้ขวบครึ่งเป็นอย่างน้อย ค่อยคิดมีคนถัดไปนะคะ**

#แล้วจะคุมยังไงดี
จริงๆเคยเขียนไปบ้างแล้วหลายตอน
ข้อดีข้อเสีย จุดเด่นของแต่ละอัน อ่านได้จากลิงค์ค่ะhttp://muay-drugstore.blogspot.com/2013/09/blog-post_26.html
คราวนี้จะโฟกัสในประเด็นที่เกี่ยวกับคุณแม่หลังคลอดนะค

โดยวิธีที่ค่อนข้างแนะนำในคณแม่หลังคลอดคือ
- ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดที่มี โปรเจสเตอโรน เป็นส่วนประกอบอย่างเดียว (progesterone-only pills หรือ minipills)
- ยาฉีดคุมกำเนิดแบบทุก 3 เดือน (DMPA)
- ยาฝังคุมกำเนิด (มีหลายยี่ห้อ norplant, jadell, implanon)
กลุ่มนี้จะดีในแง่ที่จะช่วยเพิ่มปริมาณน้ำนม จึงเหมาะในคุณแม่ให้นมลูกค่
สามารถเริ่มยากินได้ ตั้งแต่ 2 สัปดาห์หลังคลอด
ถ้าเป็นยาฉีดหรือฝัง แนะนำให้เริ่มในช่วง 6 สัปดาห์เป็นต้นไปค่ะ
(ก่อนหน้านั้นอาจจะใช้ถุงยางไปก่อนค่ะ)

ตัวเลือกอื่นๆที่ใช้กันบ่อย
- ห่วงอนามัย ใช้ได้ดีเช่นกัน ไม่มีผลต่อน้ำนม สามารถใส่ได้ตั้งแต่หลังคลอดทันที
หรือจะมาใส่ที่ 6 สัปดาห์ ก็ได้ แบบแรกดีคือใส่ง่าย แต่โอกาสหลุดจะสูงกว่า
- ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม ก็คือแบบที่มีขายกันหลายๆยี่ห้อทั่วๆไป แบบนี้อาจมีผลทำให้น้ำนมลดลงได้
แต่ก็สามารถใช้ได้ในคุณแม่ที่ให้นมลูกจนเข้าที่เข้าทางไม่มีปัญหาแล้ว
หลัง 6 สัปดาห์เป็นต้นไปค่ะ
- ถุงยางอนามัย ก็ใช้ได้ไม่มีปัญหาค่ะ

**การคุมธรรมชาติ หรือการหลั่งนอกนั้น เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพต่ำ โอกาสพลาดสูง
เพราะจะมีอสุจิเล็ดรอดออกมากับสารหล่อลื่นของฝ่ายชาย
ดังนั้นต่อให้หลั่งนอกได้ไม่พลาด ก็ยังท้องได้นะคะ ไม่แนะนำอย่างมาก
ยกเว้นคนที่คิดว่า ถ้าท้องก็โอเคไม่ซีเรียส ก็อาจจะอนุโลมกันได้ค่ะ
(แต่คนที่เพิ่งผ่าคลอดมานี่ไม่ควรมากๆ เพราะจะเสี่ยงเยอะกว่าถ้าท้อง)

@หมอบาส

(ขอบคุณ ข้อมูล จากfacebook ของ ใกล้มิตรชิดหมอ)

นมแม่สำคัญไฉน

การให้นมแม่ เป็นการลดน้ำหนักตามธรรมชาติที่ดี & ปลอดภัยแน่นอนนะคะ
แถมประโยชน์อื่นอีกเพียบ!!!




เด็กแรกเกิดถึง 6 เดือน ควรได้รับอาหารจากน้ำนมแม่ดีที่สุด ดังนั้น นมผงหรืออาหารเสริมสำหรับเด็กวัยต่ำกว่า 6 เดือน จึงถูกควบคุมการโฆษณาและการจำหน่ายให้แก่มารดา แต่ส่วนใหญ่มักมีการแอบแฝงโฆษณาด้วยการแจกฟรีให้แก่มารดาแรกคลอดตามโรงพยาบาลต่าง ๆ ซึ่งทำให้แม่เด็กอาจต้องไปหาซื้อเองนอกโรงพยาบาลภายหลัง


ล่าสุดมีข่าวจากกระทรวงสาธารณสุข จะควบคุมการโฆษณามากขึ้นอีก
รมว.สธ.เล็งออกพ.ร.บ.ควบคุมการตลาดนมและอาหารเด็กเล็ก สกัดคนหันใช้แทนนมแม่
นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์รมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมผู้บริหารระดับสูงสธ.ว่า ที่ประชุมมีการพิจารณาร่างพ.ร.บ.หรือร่างกฎกระทรวงสาธารณสุขที่จะนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี(ครม.) อาทิ ร่างพ.ร.บ.ควบคุมการทำการตลาดของนมและอาหารสำหรับเด็กเล็ก ที่มีการเสนอร่างพรบ.นี้ขึ้นมาควบคุมไม่ให้มีการโฆษณาหรือจ่ายเงินทางด้านการตลาดในส่วนของนมและอาหารสำหรับเด็กเล็ก ซึ่งหลักการเป็นเรื่องดีที่จะให้มีการควบคุม ไม่ให้มีการส่งเสริมให้มีการใช้นมผงหรืออาหารสำหรับเด็กมาทดแทนนมมารดา

"ร่างพ.ร.บ.ต้องดูถึงขั้นตอนการปฏิบัติก่อนว่าจะควบคุมอย่างไร เนื่องจากในร่างพรบ.กำหนดให้มีการตั้งหน่วยงานใหม่ขึ้นมาดูแล กำกับ อีกทั้ง บางประเด็นที่ยังมีข้อสงสัยว่าจะเป็นการไปละเมิดสิทธิ์หรือไม่ เพราะการกำหนดห้ามรับเงินช่วยเหลือทางการตลาดจากสินค้าที่เป็นอาหารสำหรับเด็กเล็กนั้น ในส่วนราชการอาจจะห้ามแพทย์ได้ แต่ภาคเอกชนจะเป็นการไปห้ามและละเมิดสิทธิ์อะไรหรือไม่ จึงต้องมีการนำกลับไปพิจารณาให้รอบด้านก่อนนำเข้าสู่ครม."นพ.ประดิษฐกล่าว






Tuesday, October 1, 2013

ยาธาตุน้ำขาว

ยาธาตุน้ำขาว
ช่วงนี้มีโฆษณายาธาตุน้ำขาวยี่ห้อหนึ่งออกทางทีวีบ่อย ยาตัวนี้ที่ร้านจึงขายดี มีน้องผู้หญิงคนหนึ่งเป็นคนต่างด้าวทำงานอยู่ร้านอาหาร พอพูดไทยได้
มาที่ร้านยาบอกว่า ขอซื้อยาน้ำแก้ปวดท้องตราม้าบิน เฮียที่ร้านอาหารเขาฝากมาซื้อ คนขายก็งงว่า ยาอะไรหรือ?”  น้องคนนี้บอกว่า จำชื่อยาไม่ได้ แต่รู้ว่าซื้อที่นี่ ที่ขวดมีรูปม้าบิน สักพัก เขามองมาที่ขวดยาธาตุน้ำขาว ที่ตั้งบนเคาน์เตอร์ยา แล้วก็ชี้บอกว่า นี่ไงม้าบิน” 


บางคนมาซื้อยาธาตุน้ำขาว จะบอกว่า ทานเวลาท้องเสียถ่ายเหลว จะหยุดได้เลย บางคนบอกว่า แก้ปวดท้องเวลาท้องเสียได้ บางคนทานเวลาแสบท้อง (โดยอาจเข้าใจว่าเป็นยาน้ำเคลือบกระเพาะ เพราะลักษณะเป็นยาน้ำขุ่นสีขาวเหมือนกัน ซึ่งข้าพเจ้าก็อธิบายตามหลักวิชาไป คือ ถ้ามีอาการปวดท้องแสบท้องเวลาท้องว่าง และเป็น ๆ หาย ๆ น่าจะเป็นโรคกระเพาะ ควรทานยารักษาโรคกระเพาะ) บางคนคิดว่า เหมือนยาธาตุน้ำแดง คือกินแก้ท้องอืดท้องเฟ้อได้เหมือนกัน

ยาธาตุน้ำขาว มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Salol et Menthol เป็นยาน้ำสีขาวในรูปแบบของ Suspension สำหรับใช้รับประทาน   
ในยาธาตุน้ำขาว 100 mL ประกอบด้วย
1. Salol (Phenyl Salicylate) 2 g  
เป็นอนุพันธ์ของ salicylic acid มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อในลำไส้ (intestinal antiseptic) จึงใช้แก้ท้องเสียจากการติดเชื้อแบคทีเรียได้ เช่น จาก อาหารเป็นพิษ ลำไส้อักเสบ

2. Anise Oil 0.132 mL  มีฤทธิ์ในการขับลม 
3. Menthol 0.176 g  ช่วยแต่งกลิ่น แต่งรส และขับลม

สรรพคุณ: เป็นยาที่ใช้รับประทานเพื่อทำลายเชื้อโรคในลำไส้ รักษาอาการอักเสบของลำไส้ แก้ปวดท้อง แก้ท้องเสีย ท้องอืดท้องเฟ้อ จุกเสียด แน่นท้อง ช่วยขับลม มีกลิ่นหอม รสหวาน รับประทานง่าย  ใช้ได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่

โดยปกติแล้วไม่ค่อยพบรายงานการแพ้ยาธาตุน้ำขาว เนื่องจากเป็นยาสามัญที่สามารถหาซื้อกินเองได้ (Over-the-Counter Drugตามร้านยาทั่วไป
แต่มีข้อควรระวัง คือ ควรแนะนำให้ผู้ที่แพ้สาร Salicylate 
หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารและยาที่มีส่วนประกอบของ Salicylate เช่น Mist Salol et Menthol,  Aspirin และยาในกลุ่ม NSAIDs ตัวอื่นๆ 

ในประเทศไทยจากรายงานอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา ประจำปี พ.ศ. 2550 (3) ซึ่งได้รวบรวมข้อมูลตั้งเเต่ปี พ.ศ. 2527 ถึง พ.ศ. 2550 
พบรายงานอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาที่ประกอบด้วย Menthol + Phenyl salicylate (Salol) + Anise oil 
โดยอาการไม่พึงประสงค์ที่ได้มีการรายงานไว้มีดังนี้
ปากชา หน้าบวม ตัวบวม ปากบวม ผื่นชนิด Erythematous อย่างละ รายงาน 
อาการ คัน (prurutus) ผื่น (rash) อย่างละ รายงาน 
นอกจากนี้ ยังมีรายงานการเกิดผื่นชนิด Maculopapular ผื่นลมพิษ (Urticaria) อย่างละ รายงาน
สรุป ยาธาตุน้ำขาว พบรายงานอาการไม่พึงประสงค์น้อย   มีราคาถูกหาซื้อได้ง่าย จึงยังคงความนิยมในผู้บริโภค

ยาธาตุน้ำแดง

ยาธาตุน้ำแดง เป็นยาที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดให้เป็นยาสามัญประจำบ้าน ที่สามารถให้ประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้เป็น แพทย์หรือผู้มีหน้าที่ดำเนินการทางการแพทย์ สามารถใช้ได้อย่างไม่มีอันตรายและเป็นการรักษาตนเองเบื้องต้น ใช้รักษาอาการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่มีอาการรุนแรง โดยผู้ป่วยหรือประชาชนสามารถใช้รักษาได้ด้วยตนเอง  สามารถหาซื้อได้ทั่วไปโดยไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์
ยาธาตุน้ำแดง ในสูตรตำรับ 15 มิลลิลิตร ประกอบด้วยตัวยาสำคัญ คือ
ไฟล์:ธาตุน้ำแดง.jpg
ยาธาตุน้ำแดง
  • Sodium Bicarbonate 0.15-0.60 g.
  • Compound Rhubarb Tincture 0.50-2.00 ml.
  • และ/หรือ Tincture อื่นๆ ที่มีสรรพคุณทางยา ได้แก่
  • Compound Cardamom Tincture 0.01-1.00 ml.
  • Compound Gentian Tincture 0.18-1.10 ml.
  • Compound Tinospora Tincture 0.50 ml.
  • Weak Ginger Tincture 0.48-2.01 ml.
  • Strong Ginger Tincture 0.10-0.30 ml.
  • Nux Vomica Tincture 0.09-0.10 ml.
  • Ipecacuanha Tincture 0.18-0.30 ml.
  • และ/หรือ Volatile Substance อื่นๆ ที่มีสรรพคุณทางยาได้แก่
  • Peppermint Spirit 0.15-0.30 ml.
  • Peppermint Oil 0.03-0.20 ml.
  • Menthol 0.05-0.30 ml.
  • Concentrated Dill Water 0.10 ml.
  • Camphor 19.00 mg.
 ตัวยาส่วนใหญ่เป็นสมุนไพรสกัด

สรรพคุณ
บรรเทาอาการปวดท้องเนื่องจากจุกเสียด ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ

ขนาดและวิธีใช้
  • เขย่าขวดก่อนใช้ยา
  • รับประทานก่อนอาหารวันละ ครั้ง
  • ผู้ใหญ่ รับประทานครั้งละ หรือ ช้อนโต๊ะ
  • เด็ก 6-12 ปี รับประทานครั้งละ 1/2 หรือ ช้อนโต๊ะ

คำเตือน
1) ห้ามใช้ในผู้ที่เป็นโรคหัวใจหรือโรคไต
2) 
ไม่ควรรับประทานเป็นเวลานานกว่า สัปดาห์ นอกจากแพทย์สั่ง
3) 
ยานี้มีแอลกอฮอล์ผสมอยู่ …..% ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง

การเก็บรักษา

เก็บที่อุณหภูมิต่ำกว่า 40 องศาเซลเซียส และป้องกันไม่ให้ถูกแสงแดด

ยาธาตุน้ำแดง (Stomachic mixture) ในสูตรตำรับ 15 มิลลิลิตร ประกอบด้วยตัวยาสำคัญ คือ Sodium Bicarbonate 0.15-0.60 g. ซึ่งมีเกลือ sodium ค่อนข้างสูง (0.15-0.60 g) จึงไม่ควรใช้ยานี้กับคนที่เป็นโรคหัวใจและไต ซึ่งต้องงดหรือลดปริมาณเกลือที่รับประทานอยู่แล้ว และเนื่องจากมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ สตรีมีครรภ์ไม่ควรจะรับประทาน 


 เนื่องจากยามีส่วนประกอบของทิงเจอร์บอระเพ็ด (Compound Tinospora Tincture)

 และจากรายงานการวิจัยของสมุนไพรแต่ละชนิดที่เป็นส่วนประกอบ พบว่าในสัตว์ทดลอง บอระเพ็ดที่ขนาดสูงมีความเป็นพิษต่อไต และตับ และมีความเป็นพิษในคนโดยทำให้ค่าเอนไซม์ในตับสูงขึ้น จึงไม่ควรรับประทานในขนาดสูงและติดต่อกันนานๆ และผู้ป่วยที่เป็นโรคตับไม่ควรรับประทาน 
ส่วน peppermint มีรายงานการแพ้น้ำมัน peppermint ในคน ส่วนโกฐน้ำเต้า (Compound Rhubarb Tincture) และกระวาน (Compound Cardamom Tincture) ไม่พบรายงานความเป็นพิษต่อหัวใจและไต

สรุป ยาทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นยาแผนปัจจุบัน ยาแผนโบราณ ยาสมุนไพร ยาสามัญประจำบ้านที่หาซื้อได้จากร้านยา ควรอ่านฉลากให้เข้าใจ รับประทานยาตามขนาดที่ระบุไว้ ไม่ทานน้อยไปจนไม่ได้ผลการรักษา หรือทานมากไปจนเกิดผลเสีย ถ้าทำได้เช่นนี้ ก็จะเกิดความปลอดภัยต่อผู้ใช้ยาทุกท่าน
ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/dic/QA_full.php?id=2637