Thursday, September 26, 2013

การคุมกำเนิดมีกี่วิธี

(ขอบคุณเนื้อหาจาก facebook ของใกล้มิตรชิดหมอ)

เพราะการมีลูกเป็นเรื่องใหญ่ที่ตามมาด้วยความรับผิดชอบมากมาย

การคุมกำเนิด จึงเป็นทางออกสำหรับผู้ที่ยังไม่พร้อม
แต่ทางเลือกในการคุมก็มีหลากหลาย ถ้าไล่พูดในรายละเอียดคงยาวมาก
วันนี้จะมาเกริ่นๆ แบบสั้นๆ ของแต่ละวิธีคุมกำเนิดแบบชั่วคราวที่ใช้บ่อยๆให้ฟังละกันค่ะ

วิธี : ถุงยางอนามัย (condom)
กลไก : ป้องกันอสุจิไม่ให้เข้าไปเจอกับไข่
ข้อดี : ไม่มีผลข้างเคียง ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพนธ์ได้
ข้อเสีย : ไม่สะดวก ต้องอาศัยความร่วมมือของฝ่ายชาย
ราคา/ระยะเวลา : ประมาน 50 บาท/กล่อง (3ชิ้น) แล้วแต่รุ่น

วิธี : ยาเม็ดคุมกำเนิดฮอร์โมนรวม (combined oral contraceptive pills)
กลไก : ประกอบด้วย estrogen + progesterone ยับยั้งการตกไข่
ข้อดี : ช่วยให้ประจำเดือนสม่ำเสมอ ลดอาการปวดและปริมาณประจำเดือนได้ เมื่อหยุดยาสามารถตั้งครรภ์ได้ทันที ลดโอกาสเกิดมะเร็งรังไข่
ข้อเสีย : ต้องกินสม่ำเสมอ อาจมีคลื่นไส้ในช่วงแรก ไม่เหมาะในผู้มีโรคหัวใจ โรคตับ ความเสี่ยงมะเร็งเต้านม
ราคา/ระยะเวลา : หลากหลาย มีตั้งแต่ ไม่ถึงร้อย-400+ /เดือน

วิธี : ยาฉีดคุมกำเนิดแบบสามเดือน (DMPA)
กลไก : ประกอบด้วย medroxyprogesterone acetate ยับยั้งการตกไข่และทำให้ผนังมดลูกบาง
ข้อดี : ฉีดทุกสามเดือนจึงสะดวก โอกาสพลาดน้อย ลดอาการปวดและปริมาณประจำเดือนได้ ลดโอกาสเกิดมะเร็งรังไข่และมะเร็งมดลูก เหมาะในคนที่ให้นมลูก เพราะไม่ทำให้นมลดลงแต่จะช่วยเพิ่มปริมานน้ำนมด้วย
ข้อเสีย : น้ำหนักเพิ่ม อาจมีประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ เลือดกะปริบกะปรอย หรือไม่มีประจำเดือนไปเลยได้ (แต่ไม่อันตราย) หลังหยุดยามักใช้เวลานานประมาน 6-12 เดือนถึงจะท้องได้
ราคา/ระยะเวลา : 100+/3เดือน 

วิธี : ยาคุมแบบฉีดทุกเดือน (ชื่อการค้า cyclofem)
กลไก : ประกอบด้วยทั้ง estrogen และ progesterone ยับยั้งการตกไข่และทำให้ผนังมดลูกบาง
ข้อดี : ประจำเดือนมาสม่ำเสมอ ไม่ต้องกินยา โอกาสพลาดน้อยกว่าแบบกิน ลดอาการปวดและปริมาณประจำเดือนได้ ลดโอกาสเกิดมะเร็งรังไข่และมะเร็งมดลูก สามารถตั้งครรภ์ได้เร็วเมื่อหยุดยา
ข้อเสีย : ต้องเจ็บตัวทุกเดือน ราคาแพงกว่าแบบสามเดือน อาจมีผลข้างเคียงของ estrogen เช่น คัดตึงเต้านม เป็นฝ้า
ราคา/ระยะเวลา : 200-300 บาท/เดือน

วิธี : ห่วงอนามัย (intrauterine device,IUD)
กลไก : ใส่ในโพรงมดลูก เกิดปฏิกิริยาที่ทำให้ไม่เหมาะกับการฝังตัวของตัวอ่อน มีทั้งชนิดที่ไม่มีฮอร์โมนและมีฮอร์โมน
ข้อดี : คุมกำเนิดได้ระยะยาว (5-10 ปี) ราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับเวลาที่ใช้ได้ ชนิดที่มีฮอร์โมนจะแพงกว่า แต่จะช่วยลดประจำเดือนและอาการปวดประจำเดือนได้
ข้อเสีย : ต้องให้แพทย์เป็นผู้ใส่ ระยะแรกๆอาจปวดท้องน้อยหรือมีเลือดออกกะปริบกระปรอยได้ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงหรือเคยติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน
ราคา/ระยะเวลา : 1000-5000 บาท / 5-10 ปี (ขึ้นกับชนิดค่ะ แต่หารแล้วก็ถูกโคตรๆ)

วิธี : ยาฝังคุมกำเนิด (implants)
กลไก : ประกอบด้วย progesterone ที่จะค่อยๆปล่อยออกมาใต้ผิวหนัง ยับยั้งการตกไข่ และผนังมดลูกบาง
ข้อดี : มีระยะการคุมกำเนิดได้ยาว ไม่ต้องกินยา น้ำหนักไม่เปลี่ยนแปลงมาก สามารถตั้งครรภ์ได้เร็วเมื่อหยุดใช้
ข้อเสีย : อาจมีประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ เลือดกะปริบกะปรอย
ราคา/ระยะเวลา : ประมาน 3000 บาท/ 3 ปี

หมดแล้วค่ะกับวิธีคุมแบบชั่วคราวที่ใช้กันบ่อยๆ
อ่านแล้วก็ลองๆนึกดูนะคะว่าตัวเองเหมาะกับแบบไหน
วิธีคิดหลักๆ คือดูว่าต้องการคุมนานแค่ไหน ขี้ลืมรึเปล่า มีโรคร่วมที่การคุมกำเนิดบางวิธีอาจจะช่วยให้ดีขึ้น (เช่นปวดเมนส์ จะเหมาะกับยากิน หรือยาฉีด) หรือมีข้อห้ามใช้รึเปล่าค่ะ 

Tuesday, September 24, 2013

ยาไวอากร้าและยาซิเดกร้า

Impress: The 66-year old from Gigante, Colombia, said to have overdosed on the penis-enhancing medicine to show off to his new girlfriend (file picture)

ตอนนี้มีข่าวออกมาว่า องค์การเภสัชกรรมสามารถผลิตยาเลียนแบบสูตรไวอากร้าได้ ใช้ชื่อยาว่า ซิเดกร้า ซึ่งราคาถูกกว่าไวอากร้าสิบเท่า เพื่อให้ผู้บริโภคได้เข้าถึงยา ตามข่าวบอกว่าวางจำหน่ายในร้านยาได้ แต่ผู้ซื้อต้องนำใบสั่งแพทย์มาด้วยถึงจะซื้อได้ รายละเอียดข่าวhttp://www.matichon.co.th/news_detail.phpnewsid=1348666346&grpid=03&catid=03

ปรากฏว่าที่ร้านยาข้าพเจ้า มีคนมาถามหาซื้อยาไวอากร้า โดยคิดว่าสามารถเข้ามาซื้อเหมือนซื้้อยาทั่วไปได้ ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด เพราะผู้ซื้อจะต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยร่างกายจากแพทย์ และมีใบสั่งยาที่ออกโดยแพทย์มายื่นขอซื้อจากร้านยาได้ และร้านยาจะต้องทำบัญชีควบคุมการซื้อขายยาตัวนี้ส่ง อ.ย.

วันนี้ จึงต้องมาทำความรู้จักข้อดีและข้อเสียของยานี้

ยาไวอากร้าเป็น ชื่อการค้า ของยาที่มีชื่อทางเคมีว่า “ซิลเดนาฟิล ซิเตรต”

   
ยานี้จะถูกดูดซึมได้จาก ทางเดินอาหาร และ ออกฤทธิ์เต็มที่ ประมาณ 1 ชั่วโมง
   
หลังจากรับประทานยา ยานี้จะถูกขจัดออกจากร่างกาย ทำให้ปริมาณยาคงเหลือเพียงครึ่งหนึ่งในร่างกาย ภายหลังการรับประทานยาไปนาน 4 ชั่วโมง
   
ไวอากร้าจะ ออกฤทธิ์ประมาณ 30 นาที โดยการช่วยคงสภาพการขยายตัวของหลอดเลือดในอวัยวะเพศชาย (เฉพาะในผู้ป่วยที่มีปัญหาการแข็งตัวของอวัยวะเพศ) ให้ขยายตัวเพียงพอสำหรับการร่วมเพศ
   
การขยายตัวของหลอดเลือดในอวัยวะเพศชายเป็นผลมาจาก การกระตุ้น ที่ผนังหลอดเลือดด้วยสารเคมีชนิดหนึ่งที่ร่างกายสร้างขึ้นมาชื่อ ไซคลิกจีเอ็มพี
   
คนปกติที่ไม่มีปัญหาการแข็งตัวของอวัยวะเพศการใช้ยานี้ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แต่อย่างใด ไม่ได้ทำให้อวัยวะเพศแข็งตัวได้ดีขึ้นกว่าเดิมหรือนานขึ้น
   
(พอไวอากร้าไทยที่ไทยผลิตเองออกมาจำหน่ายในราคาสมเหตุสมผล คือไม่แพงเท่าของนอก คงมีคนหันไปซื้อมาใช้กันมากขึ้น แต่ต้องไม่ลืมว่า ยาทุกชนิดมีความเสี่ยงและอันตรายในการใช้ทั้งสิ้น ไวอากร้าก็เช่นกัน)
  
ทีนี้มาดูข้อเสียของยาว่าเป็นอย่างไร
ด้วยคุณสมบัติเข้าไปขยายหลอดเลือด ทำให้ อวัยวะส่วนอื่น ๆ ก็ขยายด้วยเช่นกัน เช่น หลอดเลือดที่เรตินา หลอดเลือดในสมองและหลอดเลือดที่หัวใจเป็นต้น หลาย ๆ ครั้งใช้แล้วจะ ปวดศีรษะอย่างรุนแรง บางทีตาพร่ามัว มีสีฟ้าสีเขียวมาปะปนอยู่ในภาพ ผลข้างเคียงพวกนี้อยู่นานกว่าผลการออกฤทธิ์ที่อวัยวะเพศด้วยซ้ำ
   
นอกจากนี้การใช้ยาไวอากร้าร่วมกับยาขยายหลอดเลือดหัวใจใน กลุ่มไนเตรต เช่น ไอซอดิล ไนโตรกลีเซอรีน (ยาอมใต้ลิ้น) ไนโตรเดอร์ม หรือ อิสโม่ จึงเป็น ข้อห้าม ของการใช้ยานี้ คนอเมริกัน 3 รายในจำนวน 16 คน ที่เสียชีวิตจากยาไวอากร้า พบว่าเป็นผู้ป่วยที่ใช้ยาไนเตรตอยู่ก่อนแล้ว
   
ผู้ป่วยที่มีปัญหา โรคหัวใจ ควรได้รับ ความเห็นชอบ จากแพทย์ผู้รักษาเสียก่อน


ล่าสุดมีข่าวอีกว่า มีคนตายและมีคนถูกตัดอวัยวะทิ้งจากการทานยาไวอากร้าเกินขนาด 

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2013 ว่า คุณปู่ไม่เปิดเผยนามรายหนึ่งวัย 66 ปี ซึ่งเป็นชาวสหรัฐ จำต้องรับการผ่าตัดเจ้าโลกทิ้ง หลังเกิดอาการอวัยวะเพศแข็งตัวตลอดและปวดอย่างรุนแรง เพราะกินยาไวอะกร้าเกินปริมาณ เพราะหวังว่าจะสร้างความประทับใจทางเพศให้แก่คู่รักของเขา

รายงานระบุว่า คุณปู่รายนี้ต้องเผชิญกับสภาพเจ็บปวดเพราะอวัยวะเพศแข็งตัวต่อเนื่องหลายวัน ก่อนจะตัดสินใจไปปรึกษาแพทย์ โดยแพทย์บอกว่า อวัยวะเพศเขาเกิดเป็นแผลพุพอง และอ่อนตัว มีการแตกของเส้นเลือดภายใน นอกจากนี้ อวัยวะเพศของเขายังบวมเปล่ง รวมทั้งบริเวณลำไส้ ก่อนต้องรับการผ่าตัดเอาอวัยวะเพศออกอย่างไม่มีทางเลือก และอาการล่าสุดทรงตัวแล้ว ขณะเดียวกัน ทางโรงพยาบาลได้ออกคำเตือนต่อบรรดาผู้ชาย ไม่ให้ใช้ยาไวอะกร้าหรือยากระตุ้นอวัยวะเพศโดยปราศจากการปรึกษาจากแพทย์ด้วย

ทั้งนี้ เหตุการณ์นี้ยังเกิดขึ้นหลังจากเมื่อเร็ว ๆ นี้ ชายเยเมนรายหนึ่งเสียชีวิตช็อกตายเพราะกินยาไวอะกร้าเกินปริมาณ ขณะเตรียมมีสัมพันธ์กับเจ้าสาวในคืนแรกของการวิวาห์สมรสด้วย



รายละเอียดข่าว : http://www.dailymail.co.uk/news/article-2429046/Man-penis-amputated-deliberately-overdosing-Viagra-impress-girlfriend.html
   

สุดท้ายนี้ ขอสรุปว่า ข้าพเจ้าเป็นเภสัชกร  เวลาอยู่ร้าน คนที่มาซื้อยาส่วนใหญ่จะเรียกข้าพเจ้าว่าหมอ พอมีข่าวนี้ออก ทำให้คนเข้าใจผิดว่า ซื้อยาตัวนี้จากข้าพเจ้าได้ 
             ปัจจุบัน สภาพร้านยาในไทย ไม่ได้รับใบสั่งยาจากแพทย์โดยตรงอยู่แล้ว คนส่วนใหญ่คิดว่า เข้าร้านยาแล้วก็ซื้อยาได้เลยเหมือนทุกครั้ง การออกข่าวว่าผลิตยานี้ได้ราคาถูกลงเพื่อให้คนเข้าถึงยา และสามารถซื้อจากร้านยาโดยมีใบสั่งแพทย์ เช่นนี้ เป็นการส่งเสริมยอดขาย โดยไม่คำนึงถึงสภาพจริงของร้านยาในไทย 
หมายเหตุ: ยาส่วนใหญ่สามารถซื้อได้เลยจากร้านยาที่มีเภสัชกรประจำ แต่ยาบางตัวเช่นไวอากร้า แม้จะเป็นร้านยาที่มีเภสัชกรก็ไม่ขายให้ ถ้าผู้ซื้อไม่มีใบสั่งยามา(คือต้องไปให้แพทย์แผนปัจจุบันตรวจร่างกายก่อนว่าพร้อมที่จะทานยานี้ได้)

โฆษณาทรู เรื่องGiving is the best communication



จากโฆษณายอดฮิตของ ทรู เรื่อง Giving is the best communication เป็นเรื่องของหมอที่ตอนเด็กยากจนแล้วพ่อค้าที่ขายก๋วยเตี๋ยวได้ช่วยเหลือค่ายาและค่าอาหาร ตอนหลัง พ่อค้าป่วยต้องรักษาในโรงพยาบาล มาเจอหมอคนนี้ หมอได้จ่ายค่ารักษาพยาบาลให้แทนทั้งหมด โดยบอกว่า พ่อค้าได้จ่ายค่ารักษาตั้งแต่หลายสิบปีก่อนแล้ว
จึงมีคำถามว่าเป็นเรื่องจริง หรือเรื่องแต่ง ทางทรูบอกว่า โครงเรื่องดัดแปลงมาจากสังคมออนไลน์ จึงมีการสืบค้นแล้วพบว่า ก่อนหน้านี้มีอีเมล์ส่งต่อ ๆ กันมาจากต่างประเทศ
ตัวอย่างอีเมลที่ส่งต่อ ๆ กันมา
นมสดหนึ่งแก้ว(ที่ประเมินค่าไม่ได้) มีชื่อเรื่องเป็นภาษาอังกฤษว่า Paid in full with one glass of milk
เมื่อหลายปีมาแล้ว ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เด็กชายเคลลี่ ซึ่งอยู่ในครอบครัวที่มีฐานะยากจน เขาต้องหาเงินไปโรงเรียนเองด้วยการนำสิ่งของใส่กระเป๋าเดินไปขายตามบ้านที่อยู่ในเมืองใกล้เคียง
วันหนึ่งเขาพบว่าเมื่อจ่ายค่ารถและค่าสินค้าแล้ว
เขามีเงินในกระเป๋าเหลือเพียง 10 เซ็นต์ เท่านั้น ขณะนั้นเขากำลังหิวมาก
แต่เงินสดที่เขามีอยู่นั้นไม่พอที่จะซื้ออาหารแม้แต่เพียงมื้อเดียว
ดังนั้นเขาจึงคิดจะไปขออาหารจากบ้านที่กำลังเดินไปถึง แต่เมื่อกดกริ่ง หญิงสาวเจ้าของบ้านมาเปิดประตู
เด็กชายเคลลี่ กับเกิดความละอายใจที่จะขออาหารเหมือนกับขอทาน
เขาจึงขอเพียงน้ำเปล่าเพียงแก้วเดียวเท่านั้น แต่เจ้าของบ้านสาวสังเกตุเห็นท่าทางของเด็กชายเคลลี่ว่าคงจะกำลังหิว
เธอจึงได้นำเอานมสดแก้วใหญ่มาให้เคลลี่ดื่ม เด็กชายเคลลี่ดื่มนมอย่างกระหาย
จนหมดแก้วแล้วถามว่า “ผมต้องจ่ายเงินค่านมถ้วยนี้ให้คุณเท่าไหร่ครับ”
เจ้าของบ้านสาวตอบว่า “ไม่ต้องจ่ายเงินหรอก แม่ของฉันสอนไม่ให้รับสิ่งตอบแทนจากการให้น้ำใจไมตรี” เคลลี่ซาบซึ้ งใจมากและตอบว่า
“ถ้าเช่นนั้น ผมขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง จากหัวใจของผมก็แล้วกันนะครับ”
ขณะที่เด็กชายเคลลี่ได้เดินออกจากบ้านหลังนั้น เขาไม่เพียงแต่รู้สึกว่ามีกำลังแข็งแรงขึ้นจากนมสดแก้วโตเท่านั้น
แต่เขาได้มีความเข้าใจในเรื่องของน้ำใจไมตรีเพิ่มขึ้นด้วย……
อีก30 ปีต่อมา มีหญิงคนหนึ่ง ป่วยหนักด้วยโรคหัวใจ ซึ่งแพทย์ท้องถิ่นไม่สามารถรักษาได้
จึงส่งไปให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านโรคหัวใจทำการรักษา
เมื่อได้อ่านประวัติผู้ป่วยแล้ว….. แพทย์ผู้เชี่ยวชาญท่านนั้นได้สะดุดใจกับชื่อหมู่บ้านของผู้ป่วยคนนั้น จึงตั้งใจรักษาด้วยการผ่าตัดหัวใจอย่างพิเศษโดยใช้อุปกรณ์ทันสมัยที่สุด
และยาราคาแพงที่ดีสุด จนผู้ป่วยหายเป็นปกติพร้อมจะกลับบ้าน
ผู้ป่วยมีความกังวลว่าค่ารักษาพยาบาลคงจะมีราคาแพงหลายหมื่นดอลลาร์
ซึ่งเธอเข้าใจว่าคงจะต้องทำงานทั้งชีวิตกว่าเธอจะหาเงินค่ารักษาพยาบาลได้
เพราะเธอไม่มีประกันสุขภาพ และยังไม่สามารถไปเบิกได้จากที่ไหนได้
แต่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญคนนั้น ได้บอกเจ้าหน้าที่แผนกบัญชี
ให้นำใบเก็บเงินไปให้เขา แล้วหมอก็ใช้ปากกาเขียนข้อความสองบรรทัด
แล้วยื่นให้เจ้าหน้าที่บอกให้ผู้ป่วยกลับบ้านได้
โดยไม่ต้องจ่ายเงินเลย ข้อความที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญท่านนั้นเขียนในใบเรียกเก็บเงินนั้นมีว่า
“จ่ายค่ารักษาพยาบาลเรียบร้อยแล้ว ด้วยนมสดหนึ่งแก้ว”
ลงนาม นายแพทย์ โฮเวอร์ด เคลลี่
“ราคาของนมสดหนึ่งแก้ว” เป็นเหตุการณ์จริงที่เกี่ยวกับน้ำใจไมตรีในต่างประเทศ
เรื่องในอีเมล์ที่ส่งต่อ ๆ กันมาฉบับนี้ก็ยังไม่ยืนยันว่าจริง


สรุป เรื่องจริง คือ Dr Howard Kelly เป็นหนึ่งในแพทย์สี่คนแรกของ John Hopkins University Hospital เป็นหมอสูตินรีเวช เค้าโครงมาจากเรื่องจริง แต่แต่งเติมไปเยอะ จริงๆตอนเป็นหมอแล้วชอบเดินทางไปโน่นไปนี่ แล้วระหว่างเดินทางเกิดหิวน้ำ ได้แวะบ้านแถวนั้นแล้วขอน้ำกิน แล้วมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเอานมมาให้ด้วย ต่อมาเด็กโตขึ้นมาเป็นคนไข้ Dr Kelly จ่ายบิลล์ให้ แล้วเขียนโน้ตไว้แทนบิลล์ว่า Paid in full with one glass of milk 
เล่ากันว่าDr Kelly จะคิดเงินคนไข้ที่มีเงินแพงกว่าปกติ แต่รักษาฟรีให้คนไข้ยากจน (75%ของคนไข้เขารักษาฟรี)ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ http://www.snopes.com/glurge/milk.asp

Friday, September 20, 2013

โรคเบาหวานกับเรื่องฟัน


โรคเบาหวานกับเรื่องฟัน เกี่ยวกันหรือ?

โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรัง ที่เกี่ยวข้องกับร่างกายในการดูดซึมน้ำตาลในเลือด ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงซึ่งถ้าไม่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด จะส่งผลต่อตา เส้นประสาท ไต และหัวใจ อีกทั้งอวัยวะในร่างกาย 

โรคเบาหวาน มีผลต่อความสามารถในการสู้กับเชื้อโรคของร่างกาย ทำให้ง่ายต่อการติดเชื้อและแผลหายช้านั่นเอง 

ถ้าคุณหรือคนข้างเคียงของคุณเป็นโรคเบาหวาน ให้ทราบไว้ว่าคุณมีความเสี่ยงสูงต่อปัญหาในช่องปาก ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นได้บ่อยๆ มีดังนี้

-โรคเหงือก ซึ่งงานวิจัยได้พบถึงความสัมพันธ์ระหว่างโรงเหงือกกับโรคเบาหวาน เนื่องจาก ผู้ป่วยโรคเบาหวานจะง่ายต่อการติดเชื้อและแผลหายช้า โรคเหงือกจึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นง่ายในไข้เบาหวาน และอาจจะกลายเป็นรุนแรงถึงโรครำมะนาดได้ (ฟันโยกมากๆ) และยังพบว่า การรักษาโรคเหงือกจะสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วย

-ติดเชื้อราในช่องปาก หากโรคเบาหวานไม่ได้รับการควบคุม จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายของคนไข้ต่ำลง อาจจะทำให้ติดเชื้อราในช่องปากได้ง่าย อาการของการติดเชื้อจะปวดแสบปวดร้อนในช่องหากและกลืนลำบาก ต้องรีบปรึกษาแพทย์

-การติดเชื้อและแผลหายช้า ถ้ามีการศัลยกรรมภายในช่องปาก เช่น ถอนฟัน ผ่าฟันคุด ทันตแพทย์อาจจะต้องจ่ายยาปฎิชีวนะ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ส่วนเรื่องแผลหายช้า ผู้ป่วยควรควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับที่ปกติตั้งแต่ก่อนทำ ระหว่างทำ และหลังทำการรักษาทันตกรรม

สรุปว่า การดูแลช่องปาก รวมไปถึงการพบทันตแพทย์อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดปัญหาดังกล่าวได้ ใครรรู้ตัวว่าเป็นโรคเบาหวาน และไม่เคยไปพบหมอฟันเพื่อตรวจฟันและเหงือก ลองไปดูนะครับ อาจจะช่วยคุณได้ก่อนที่จะสายเกินไป


https://www.facebook.com/pages/%E0%B9%83%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%9F%E0%B8%B1%E0%B8%99/265463766838026?hc_location=stream

Wednesday, September 18, 2013

ร้านยากับAEC

ร้านยาเครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภคผลิตภัณฑ์สุขภาพของสำนักอนามัยกับการพัฒนารองรับ AEC
กระทรวงสาธารณสุขได้มีการออกกฎกระทรวง ภายใต้พระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 กำหนดให้ร้านยาต้องผ่านการตรวจสอบคุณภาพในการให้บริการภายใต้หลักวิธีปฏิบัติที่ดีในร้านยา (Good Pharmacy Practice: GPP) โดยบังคับร้านยาเปิดใหม่ทั้งหมดจะต้องมีคุณภาพมาตรฐานตาม GPP เพื่อยกระดับมาตรฐานของร้านยาให้พร้อมต่อการร่วมเป็นส่วนหนึ่งในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) ที่นำระบบคุณภาพเป็นเงื่อนไขในการแข่งขัน นอกจากนี้ในอนาคตจะมีการนำมาตรฐานร้านยาคุณภาพมาเป็นเงื่อนไขในการไม่ต่อใบอนุญาตร้านยาที่ไม่มีระบบคุณภาพ ทั้งนี้กฎกระทรวงดังกล่าว จะบังคับกับร้านยาใหม่ทันที หลังประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว 180 วัน โดยร้านยาที่เปิดก่อนกฎกระทรวงนี้ผลบังคับใช้ภายใน 8 ปี เพื่อให้เวลาในการพัฒนาร้านยา
ที่มา : ข่าวสารด้านยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ ฉบับที่ 99 ประจำเดือน พฤษภาคม 2556

อ่านรายละเอียดที่ลิ้งค์
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000049794

ยาเกร็กคู ยาแคปปร้า จิ่วเจิ้งปู่เซินเจียวหนัง

ผลิตภัณฑ์ที่อ้างชื่อว่าเป็นยาเกร็กคู ยาแคปปร้า จิ่วเจิ้งปู่เซินเจียวหนัง ซึ่งเป็นยาแผนโบราณ ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์เขต 10 อุบลราชธานี แจ้งว่าศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1 เชียงใหม่ ได้ตรวจพบว่ามีการปลอมปนยา Sildenafil และยา Tadanafil ซึ่งเป็นยาแผนปัจจุบัน (แต่ไม่ระบุว่ายี่ห้อใดพบยาตัวใด หรือพบที่ล็อตอะไร) ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่งคนที่ป่วยเป็นโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง และเข้าข่ายยาปลอมตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ.2510

ยาน้ำแก้ไอสมุนไพรที่จำหน่ายในร้านยา

ยาน้ำแก้ไอสมุนไพรที่จำหน่ายในร้านยา ยาแก้ไอสมุนไพร มีผลข้างเคียงน้อยไม่ค่อยพบข้อเสียและอาการแพ้ยา ยาแก้ไอสมุนไพรส่วนใหญ่จะใส่ปริมาณยาที่เหมาะสมกับคนทุกประเภท ทานได้ตั้งแต่เด็กถึงผู้ใหญ่ จึงค่อนข้างปลอดภัย ราคาไม่แพง สามารถหาซื้อจากร้านยามาทานเองได้ และมักจะเป็นยาบอกต่อ ๆ กันจากคนรุ่นก่อนถึงรุ่นปัจจุบัน
ยาแก้ไอสมุนไพร จึงเป็นทางเลือกของคนที่ไอจากการระคายคอ ไอเรื้อรัง หรือเป็น ๆ หาย ๆเนื่องจากภูมิแพ้, เนื่องจากการสูบบุหรี่, หรือคนที่ทานยาแก้ไอแผนปัจจุบันแล้วคิดว่าไม่ได้ผล หรือคนที่แพ้ยาแผนปัจจุบัน  ฯลฯยาแก้ไอสมุนไพรในร้านยาส่วนใหญ่ ก็จะมี ดังต่อไปนี้
ยาน้ำเชื่อมแก้ไอ ชวนป๋วยปี่แป่กอ ของเนียมฉื่ออำ
สรรพคุณ  บรรเทาอาการไอ เจ็บคอ ลดเสมหะ
ขนาดและวิธีใช้   ผู้ใหญ่    ครั้งละ 2 ช้อนชา  วันละ 3 เวลา
เด็ก อายุระหว่าง 7-12 ปี    ครั้งละ 1 ช้อนชา วันละ 3 เวลา
       อายุระหว่าง 3-6 ปี      ครั้งละ ½ ช้อนชา วันละ 3 เวลา
สามารถผสมน้ำอุ่นจิบทีละน้อย หรือกลืนยานี้อย่างช้า ๆ เพื่อช่วยบรรเทาอาการได้เร็วขึ้น
ในช่วงอากาศร้อน ควรเก็บรักษาในที่เย็นหรือตู้เย็น(ชั้นที่อยู่ใต้ช่องแช่แข็ง) เพื่อรักษาคุณภาพของยา
ส่วนประกอบ (ingredients) ประกอบด้วยสมุนไพร 15 ชนิด รายละเอียดอยู่ในแผ่นพับที่ใส่อยู่ในกล่องยา

ผลข้างเคียง อาจทำให้ง่วงได้
ข้อควรระวัง  ไม่ควรใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 3ขวบ
                       หญิงตั้งครรภ์ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา
                       ถ้ามีไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียส หรือมีอาการไอต่อเนื่องนานหลายวัน (นานกว่า 1 สัปดาห์) ควรปรึกษาแพทย์
ยาแก้ไอชวนป๋วยปี่แป่โหล่ว (หมอพัวเกาซิ่ว)
เป็นยาน้ำเชื่อมรสหวาน ปรุงด้วยยาจีน รับประทานง่าย
ส่วนประกอบ (Ingredients)
Fritillaria verticellata Wild            15 %
Eriobotrya Japanica, Lindl            17%
Prunus armeniaca L.Var.Amara      8%
Platycodon grandiflorus Dc.            7%
Mentha Arvensis L.                          1%
Sucrosum                                         52%
สรรพคุณ เป็นยาแก้ไอ เจ็บคอ เสียงแห้ง ขับเสมหะ
ขนาดรับประทาน ผู้ใหญ่ ครั้งละ ½-1 ช้อนโต๊ะ(Tablespoonful) วันละ 4-5 ครั้ง
                              เด็กอายุต่ำกว่า 9 ขวบ และสตรีมีครรภ์ห้ามรับประทาน
ยาซอมป่อยใหม่

ใน 750 ซีซี มีตัวยาสำคัญ คือ
แก่นสน ขิงแห้ง  มะขามป้อม ดีปลี สะค้าน เปลือกส้มเกลี้ยง อย่างละ 5 กรัม
และ อบเชย ชะเอมอย่างละ 10 กรัม
สรรพคุณ แก้ไอ  ขับเสมหะ
ขนาดรับประทาน เขย่าขวดก่อนรับประทาน  ผู้ใหญ่ครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ วันละ
3 ครั้งก่อนอาหาร หรือจะใช้จิบเมื่อมีอาการไอก็ได้  ส่วนเด็ก ทานครั้งละ ครึ่งหนึ่งของผู้ใหญ่
ยาแก้ไอมะแว้งน้ำเชื่อม (อ้วยอันโอสถ),(ไอยรา)
ส่วนประกอบสำคัญใน 1000 ซีซี
ผลมะแว้ง 250 กรัม
รากมะแว้งทั้งสอง 10 กรัม
ชะเอมเทศ 40 กรัม
มะขามป้อม 10 กรัม
น้ำผึ้ง 30 กรัม
สรรพคุณ บรรเทาอาการไอ ขับเสมหะ  ทำให้ชุ่มคอ
วิธีใช้  รับประทานครั้งละ 1-2 ช้อนชา วันละ 3-4 ครั้ง
           ใช้ได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่
ยาแก้ไอตราอาปาเช่
ใน 1000 ซีซี มีวัตถุเป็นส่วนประกอบของยา คือ
ลูกมะแว้งต้น 100 กรัม                ลูกมะแว้งเครือ  100 กรัม
ชะเอมเทศ 50 กรัม                       สมอเทศ 50 กรัม
มะขามป้อม  50 กรัม                    ใบส้มป่อย 50 กรัม
ใบสวาด  50 กรัม                          รากส้มกุ้ง 50 กรัม
และตัวยาอื่น ๆ
สรรพคุณ บรรเทาอาการไอ ขับเสมหะ ทำให้ชุ่มคอ
ขนาดรับประทาน  ผู้ใหญ่รับประทานครั้งละ 1-2 ช้อนโต๊ะ วันละ 3-4 ครั้ง
เด็กอายุ 2-6 ขวบ รับประทานครั้งละ 2 ช้อนชา วันละ3-4 ครั้ง
หรือจิบเมื่อมีอาการไอ
ยาน้ำแก้ไอโยคี
ในตัวยา 100 ซีซี ประกอบด้วย
มะขามป้อม 5 ส่วน  เปลือกส้มเกลี้ยง 5 ส่วน ชะเอมเทศ 15 ส่วน และส่วนประกอบอื่น ๆ
สรรพคุณ ใช้บรรเทาอาการไอ ขับเสมหะ ทำให้ชุ่มคอ
วิธีใช้ รับประทาน ครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ หรือใช้จิบเมื่อมีอาการไอ วันละ 3-4 ครั้ง
ยาแก้ไอผสมมะขามป้อมตราอภัยภูเบศร์
ส่วนประกอบสำคัญ  ใน 100 มล.
สารสกัดมะขามป้อม 60 มล. สารสกัดมะแว้ง 5 มล. และตัวยาอื่น ๆ
สรรพคุณ บรรเทาอาการไอ ขับเสมหะ และช่วยให้ชุ่มคอ
วิธีใช้ รับประทานครั้งละ 2 ช้อนชา วันละ 3-4 ครั้งเมื่อมีอาการ 
เขย่าขวดก่อนใช้ยา

ยาแก้ไอน้ำดำตราเสือดาว และ ยาแก้ไอน้ำดำองค์การเภสัชกรรม (Brown Mixture)








ยาแก้ไอน้ำดำตราเสือดาว และ ยาแก้ไอน้ำดำองค์การเภสัชกรรมมีตัวยาเหมือนกัน มีฤทธ์กดอาการไอ จึงไม่เหมาะกับเด็กอายุต่ำกว่า 6 ขวบ

ในสูตรตำรับ 5 มล. ประกอบด้วยตัวยาสำคัญ คือ
GLYCYRRHIZA FLUIDEXTRACT          0.6 ml
ANTIMONY POTASSIUM TARTRATE  1.2 mg
CAMPHORATED OPIUM TINCTURE    0.6 ml
สรรพคุณ บรรเทาอาการไอ ช่วยขับเสมหะ
ขนาดและวิธีใช้ เขย่าขวดก่อนใช้ รับประทานวันละ 3-4 ครั้ง
ผู้ใหญ่ รับประทานครั้งละ 1-2 ช้อนชา (5-10  มิลลิลิตร)
เด็ก 6-12 ขวบ รับประทานครั้งละ ½-1 ช้อนชา (2.5 -5 มิลิลิตร) 

สรุป  ยาน้ำแก้ไอสมุนไพร มักจะมีตัวยาสมุนไพรคล้าย ๆ กัน คือ จะมีมะขามป้อม ชะเอมเทศ มะแว้ง อยู่ในส่วนประกอบของยา ซึ่งสมุนไพรเหล่านี้ มีสรรพคุณขับเสมหะอยู่แล้ว และค่อนข้างปลอดภัย บางสูตรใช้ในเด็กอายุตั้งแต่ 2 ขวบขึ้นไปได้
ยาแก้ไอสมุนไพรก็เป็นทางเลือกในการบรรเทาอาการไอ ที่ราคาไม่แพง ปลอดภัย หาซื้อได้ในร้านยา

ยาคุมฉุกเฉิน


ยาคุมฉุกเฉิน... ขอให้เป็นทางเลือกสุดท้าย
 ขอบคุณบทความนี้จาก facebook ของ ใกล้มิตรชิดหมอ



คงมีคนเคยได้ยินเกี่ยวกับยานี้มาบ้าง ทั้งด้านดี ด้านร้าย บ้างก็เชื่อว่ามันจะมีผลทำให้มดลูกเสีย เป็น
มะเร็งบ้าง จริงไม่จริงยังไงมาดูกันค่ะ


ยาคุมฉุกเฉินที่วางขายในท้องตลาด เป็นยาเม็ดจำนวน 2 เม็ดใน1กล่อง 
ใน 1 เม็ดประกอบด้วยตัวยา levonorgestrel 0.75 มก. (เป็นฮอร์โมนกลุ่ม progesterone ขนาดสูงค่ะ)


หลักการของยาคือจะไปยับยั้งการตกไข่ ชะลอการบีบตัวของท่อนำไข่ และเกิดการเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุโพรงมดลูกไม่ให้ตัวอ่อนฝังตัวได้


การรับประทานยาให้กินให้เร็วที่สุดหลังมีเพศสัมพันธ์ ไม่ควรเกิน 72 ชม.


อาจกินทีเดียวทั้งสองเม็ด หรือกินทีละเม็ดห่างกัน 12 ชม. ก็ได้ (ถ้าลืมจริงๆก็ได้ถึง 24 ชม.ค่ะ)


แบบกินทีละเม็ดอาการข้างเคียงจะน้อยกว่า แต่ถ้ากลัวลืมก็กินสองเม็ดไปเลย

**จะป้องกันได้แน่ไหม?


ต้องบอกก่อนว่า ไม่มีวิธีคุมกำเนิดใดที่ 100% แม้กระทั่งการทำหมัน


การคุมโดยยาฉุกเฉินเอง สามารถลดโอกาสตั้งครรภ์ได้ 75% แต่ก็ยังมีโอกาสท้องได้


และเมื่อเทียบกับวิธีคุมอื่นๆแล้ว ถือว่าประสิทธิภาพต่ำกว่า

**อันตรายหรือไม่?


- ผลข้างเคียงจากการใช้ยาที่พบได้ คือคลื่นไส้อาเจียน ปวดหัว คัดตึงเต้านม เลือดออก ประจำเดือนผิดปกติไป


- หากคุมกำเนิดล้มเหลว อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิด "ท้องนอกมดลูก" ตามมาได้

ซึ่งโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนพวกนี้จะเพิ่มขึ้นมากถ้าใช้บ่อยๆ โดยเฉพาะมากกว่า 2 ครั้ง/เดือนค่ะ

อย่างไรก็ตาม หากเกิดการตั้งครรภ์ขึ้นมา ก็พบว่าการใช้ยา ไม่เพิ่มความพิการในทารก

และไม่ได้มีอันตรายต่อผู้ใช้ในระยะยาว ทั้งในแง่ของการเกิดมะเร็ง หรือความผิดปกติของมดลูก

และยานี้ไม่ใช่ยาทำแท้ง*** หากมีการตั้งครรภ์อยู่แล้ว การกินยานี้ ก็ไม่มีผลให้แท้งค่ะ

**สรุป**

ยามีที่ใช้ตามชื่อค่ะ คือเป็นยาคุม"ฉุกเฉิน" ใช้ในกรณีฉุกเฉินจริงๆ
เช่น ถุงยางรั่ว เมาแล้วเกิดเหตุโดยไม่ตั้งตัว หรือโดนข่มขืนอะไรพวกนี้

ถ้ามีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ไม่วางแผน แล้วไม่ต้องการตั้งครรภ์จริงๆ ก็สามารถใช้ได้

แต่ไม่แนะนำให้ใช้เป็นประจำค่ะ เพราะอย่างที่บอก ประสิทธิภาพไม่ดีนัก ผลข้างเคียงก็มี

ที่อันตรายคือท้องนอกมดลูกค่ะ เจอบ่อยมากในเด็กวัยรุ่น ที่สำคัญคือมันไม่ได้ช่วยป้องกันพวกโรคติดต่อ ทั้งเอดส์ เริม หนองใน ซึ่งในเด็กกลุ่มนี้ถือว่าเสี่ยงมากๆค่ะ (ใช้ถุงยางน่าจะดีกว่า 
ป้องกันได้เกือบหมดค่ะ) เคยบอกเคยอธิบายคนไข้(ที่ท้องนอกมดลูกจนต้องมาตัดปีกมดลูกไปข้างนึง เพราะแฟนให้กินยาฉุกเฉินแทบจะทุกอาทิตย์) แล้วบอกว่าให้ไปอธิบายให้แฟน ถ้าแฟนยังจะให้คุมแบบนี้อยู่ ก็เลิกไปเถอะค่ะ แปลว่าไม่ห่วงสุขภาพเราซักนิดเห็นแก่ตัวไปนะคะกรณีแบบนี้.. ว่ามั้ย

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับยาคุมฉุกเฉินจากบทความข้างล่างนี้

ยาคุมฉุกเฉิน...เรื่องจริงที่ผู้หญิงต้องรู้


ขอขอบคุณบทความนี้ จาก ภ.ญ.พิชญา ดิลกพัฒนมงคล ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ยาคุมฉุกเฉิน ชื่อนี้คุณผู้อ่านหลายท่านอาจไม่รู้จัก แต่ถ้าบอกว่าเป็น ยาคุมกำเนิดประเภทหนึ่ง หลายท่านคงร้อง อ๋อ แต่ช้าก่อน ท่านทราบหรือไม่ว่า ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน มีความเหมือนหรือแตกต่างจากยาคุมกำเนิดแบบปกติอย่างไร อีกทั้งยาคุมกำเนิดฉุกเฉินมีวิธีใช้ ประสิทธิภาพ และความปลอดภัย เป็นเช่นไร หากท่านไม่ทราบ การใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินก็จะเหมือนกับการใช้ยาอื่นๆ คือ มีประโยชน์หากใช้ถูกต้อง และก่ออาการข้างเคียงหรืออันตรายหากใช้ไม่ถูก
ยาคุมฉุกเฉินมีข้อบ่งใช้อย่างไร
ยาคุมฉุกเฉินมีข้อบ่งใช้ในการป้องกันการตั้งครรภ์ในกรณีฉุกเฉิน ขอย้ำว่าใช้ในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น คำว่า “ฉุกเฉิน” ในที่นี้หมายความถึง การมีเพศสัมพันธ์ในคู่สามีภรรยา ที่มีการวางแผนครอบครัว และทำการป้องกันการตั้งครรภ์ แต่เกิดความผิดพลาดจากวิธีคุมกำเนิดที่ใช้ เช่น การรั่วหรือฉีกขาดของถุงยางอนามัย การลืมรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดตั้งแต่ 2 เม็ดขึ้นไป เป็นต้น หรือใช้ในกรณีผู้หญิงที่ถูกข่มขืน

รับประทานยาคุมฉุกเฉินอย่างไร
ผลิตภัณฑ์ยาคุมฉุกเฉินที่จำหน่ายในประเทศไทย จำหน่ายเป็นกล่อง มียากล่องละ 1 แผง และแต่ละแผงมียาคุมฉุกเฉิน 2 เม็ด แต่ละเม็ดประกอบด้วยตัวยาที่เป็นฮอร์โมนขนาดสูง คือ ลีโวนอร์เจสเตรล (levonorgestrel) เม็ดละ 750 ไมโครกรัม การรับประทานยาที่ถูกต้องคือ รับประทานยาเม็ดแรกให้เร็วที่สุดหลังจากมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน โดยไม่ควรเกิน 72 ชั่วโมง และจะต้องรับประทานยาเม็ดที่สองหลังจากรับประทานยาเม็ดแรกไม่เกิน 12 ชั่วโมง หากมีการอาเจียนภายใน  2 ชั่วโมงหลังรับประทานยาแต่ละเม็ด  ต้องรับประทานยาใหม่  และไม่แนะนำให้รับประทานยาเกิน  4  เม็ด หรือ 2กล่อง ต่อเดือน
การรับประทานยาเม็ดแรกภายใน 72 ชั่วโมง หลังการมีเพศสัมพันธ์ดังกล่าวตามด้วยยาเม็ดที่สอง จะให้ประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 75% แต่หากเริ่มยาภายใน 24ชั่วโมง หลังการมีเพศสัมพันธ์ จะให้ประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์เพิ่มขึ้นเป็น 85% ดังนั้นจึงควรรับประทานยาเม็ดแรกหลังการมีเพศสัมพันธ์ให้เร็วที่สุด
มีคำแนะนำด้วยว่า สามารถรับประทานยาคุมฉุกเฉิน 2 เม็ด พร้อมกันในครั้งเดียวได้ โดยที่ประสิทธิภาพและความปลอดภัย ไม่แตกต่างจากการแบ่งรับประทานเป็น 2 ครั้ง ซึ่งในสหรัฐอเมริกานิยมรูปแบบการรับประทานในครั้งเดียว และมีผลิตภัณฑ์จำหน่ายในรูปแบบยาที่มีความแรงเป็น 2 เท่า คือ มีตัวยาลีโวนอร์เจสเตรลเม็ดละ 1.5 มิลลิกรัม การรับประทานเพียงครั้งเดียว จะทำให้เกิดความสะดวกมากกว่าการแบ่งยารับประทาน อย่างไรก็ตามในบางรายอาจพบอาการคลื่นไส้ อาเจียนจากการรับประทานยาเพียงครั้งเดียวมากกว่าการแบ่งรับประทาน 2 ครั้ง


ความเข้าใจไม่ถูกต้องเกี่ยวกับยาคุมฉุกเฉิน
มีความเข้าใจไม่ถูกต้องเกี่ยวกับยาคุมฉุกเฉินหลายประการ ซึ่งขออธิบาย ดังนี้

  • มีความเข้าใจว่า ใช้ยาคุมฉุกเฉินเพื่อคุมกำเนิดระยะยาวได้ ความเข้าใจนี้ไม่ถูกต้อง หากสามีภรรยาที่ยังไม่พร้อมมีบุตรแต่ต้องการคุมกำเนิดในระยะยาว มีวิธีคุมกำเนิดที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากกว่าเช่น การรับประทานยาคุมกำเนิดแบบปกติชนิดเม็ด โดยรับประทานทุกวันวันละ 1 เม็ด นอกจากนี้ การรับประทานยาคุมฉุกเฉินเป็นประจำจะพบอาการข้างเคียงสูง เช่น ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน เลือดออกกะปริดกะปรอย รวมทั้งพบความเสี่ยงในการเกิดอุบัติการณ์การตั้งครรภ์นอกมดลูกเพิ่มขึ้น
  • มีความเข้าใจว่า ยาคุมฉุกเฉินเป็นยาทำแท้ง ความเข้าใจนี้เป็นความเข้าใจที่ผิด ยาคุมฉุกเฉินสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้เท่านั้น นั่นคือต้องได้ยาเข้าไปในร่างกายก่อนที่จะมีการฝังตัวของไข่ที่เยื่อบุโพรงมดลูก เแต่หากไข่ที่ผสมกับอสุจิได้ฝังตัวที่ผนังมดลูกไปแล้ว ยานี้จะทำอะไรไม่ได้ ดังนั้น ยานี้จึงไม่ใช่ยาทำแท้ง
  • มีความเข้าใจว่า ยาคุมฉุกเฉินป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ ความเข้าใจนี้เป็นความเข้าใจที่ผิด การใช้ยาคุมฉุกเฉินนั้นไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แต่การใช้ถุงยางอนามัยเป็นวิธีการคุมกำเนิดที่สามารถคุมกำเนิด และป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้
  • มีความเข้าใจว่า ยาคุมฉุกเฉินอาจทำให้ทารกพิการได้หากรับประทานไปโดยไม่ทราบว่าตั้งครรภ์ ความเข้าใจนี้ไม่ถูกต้อง ทั้งนี้มีรายงานว่า ไม่พบทารกพิการจากมารดาที่รับประทานยาโดยไม่ทราบว่าตนเองกำลังตั้งครรภ์
รับประทานยาคุมฉุกเฉินไปแล้วสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ที่ไม่ได้วางแผนได้จริงหรือ
ตัวยาลีโวนอร์เจสเตรลที่อยู่ในยาคุมฉุกเฉิน เมื่อรับประทานเข้าไปจะมีผลรบกวนกระบวนการตกไข่ รบกวนการที่อสุจิจะว่ายเข้าไปผสมกับไข่ รวมทั้งส่งผลเปลี่ยนแปลงเยื่อบุโพรงมดลูกเพื่อทำให้ยากแก่การฝังตัวของไข่ที่ผสมกับอสุจิแล้ว การรับประทานยาคุมฉุกเฉินจึงไม่ได้หมายความว่าจะไม่ตั้งครรภ์  แต่เป็นเพียงแค่การไปลดโอกาสตั้งครรภ์ลงจากเดิม ดังนั้นระยะเวลาที่เริ่มรับประทานยาจึงส่งผลต่อประสิทธิภาพของยาในการคุมกำเนิดด้วย โดยพบว่าระยะเวลาระหว่างการมีเพศสัมพันธ์กับการรับประทานยาเม็ดแรกที่นานขึ้น จะส่งผลให้ประสิทธิภาพการคุมกำเนิดลดลง
เนื่องจากยาออกฤทธิ์ป้องกันไม่ให้ไข่ที่ผสมกับอสุจิแล้วฝังตัวที่เยื่อบุโพรงมดลูก ดังนั้นหากมีการฝังตัวของไข่ที่ผสมกับอสุจิที่ผนังมดลูกไปแล้วค่อยรับประทานยา ยาที่รับประทานเข้าไป ก็จะไม่สามารถเข้าไปป้องกันการตั้งครรภ์ และไม่สามารถทำให้เกิดการแท้งได้ นอกจากนั้นประสิทธิภาพของยาคุมฉุกเฉิน สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ในแต่ละครั้งของการมีเพศสัมพันธ์ ที่ไม่ได้วางแผนไว้เท่านั้น แต่ยาไม่มีประสิทธิภาพป้องกันการตั้งครรภ์ไปตลอดรอบเดือนที่เหลือ ดังนั้นระหว่างรอบเดือนที่เหลือ จึงควรมีการคุมกำเนิดแบบอื่นร่วมด้วย
ผลข้างเคียงจากการรับประทานยาคุมฉุกเฉิน
ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยจากการใช้ยาคุมฉุกเฉินมักเป็นอาการที่ไม่รุนแรง ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง เจ็บคัดเต้านม มีเลือดออกกะปริดกะปรอยหรือมีเลือดออกมากระหว่างเดือน ประจำเดือนมาเร็วหรือช้ากว่าปกติ อาการข้างเคียงเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องใช้ยารักษา การรับประทานในช่วงเวลาสั้นๆ นั้นไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด แต่การใช้ยาติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ นอกจากประสิทธิภาพที่ด้อยกว่า เมื่อเทียบกับการรับประทานยาคุมกำเนิดแบบปกติชนิดเม็ดแล้ว ยังอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง จากการที่มีระดับฮอร์โมนสูงในร่างกาย ส่งผลทำให้เกิดความผิดปกติที่รังไข่ เยื่อบุโพรงมดลูก รวมทั้งเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูกถึง 2% เป็นต้น ดังนั้นการใช้ยานี้จึงควรใช้เมื่อจำเป็นเท่านั้น และไม่แนะนำให้รับประทานเกิน 4 เม็ด หรือ 2กล่อง ต่อเดือน
หลังจากรับประทานยาคุมฉุกเฉินแล้ว เมื่อไหร่ประจำเดือนจะมา
โดยทั่วไปประจำเดือนจะมาหลังจากรับประทานยาภายในเวลาไม่เกิน 1สัปดาห์ ทั้งนี้หากไม่มีประจำเดือนมา ให้สงสัยว่าตั้งครรภ์ ควรไปพบแพทย์ หลังจากนั้นประจำเดือนของรอบเดือนนั้นจะมาในช่วงเวลาเดิม ในบางรายอาจพบประจำเดือนรอบต่อไปมาช้าหรือเร็วกว่าปกติได้
สรุป
ยาคุมฉุกเฉินเป็นยาที่ผลิตคิดค้นออกมาเพื่อใช้เฉพาะในเหตุการณ์ฉุกเฉินและจำเป็นเท่านั้น โดยจะเกิดผลดีหากใช้ในทางที่ถูกต้อง ในผู้ที่มีการวางแผนที่จะมีเพศสัมพันธ์ และยังไม่ต้องการมีบุตร สามารถเลือกใช้วิธีการคุมกำเนิดแบบอื่น ที่มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยต่อผู้ใช้มากกว่า เช่น การรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดแบบที่รับประทานติดต่อกันทุกวัน การใช้ถุงยางอนามัย การใส่ห่วงอนามัย การใช้ยาคุมกำเนิดชนิดแผ่นแปะเป็นต้น
บรรณานุกรม